เครื่องทอผ้าในภาคอีสานของประเทศไทยจะเรียกในภาษาท้องถิ่นว่า “หูก” โดยกลุ่มชาวภูไท และชาวไท-ลาว ในบริเวณอีสานตอนบน และเรียกว่า “กี่” โดยกลุ่มชาวไทยเชื้อสายเขมรและ ชาวกูย ในบริเวณอีสานตอนล่าง ซึ่งเครื่องทอผ้าของแต่ละชาติพันธุ์จะมีเอกลักษณ์พิเศษ ในขณะเดียวกัน ก็มีลักษณะร่วมกันที่แสดงร่องรอยของความสัมพันธ์ของวัฒนธรรมระหว่างกลุ่มไว้ด้วยเหตุที่อาจเคยอยู่ร่วมกันในพื้นที่หรือเคยมีความสัมพันธ์กันในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง รูปแบบเครื่องทอผ้าจึงช่วยเราบ่งชี้ว่ากลุ่มชาติพันธุ์ใดเป็นผู้ทอผ้า
เครื่องทอผ้าทุกกลุ่มชาติพันธุ์ในภาคอีสานนั้นจะเป็น “เครื่องทอผ้าแบบขาตั้ง” ซึ่งเป็นรูปแบบ ที่ใช้กันทั่วไป เหมาะสมกับวิถีชีวิตในสังคมเกษตรกรรมที่ตั้งถิ่นฐานทํากินแน่นอน นิยมทําจากไม้เนื้อ แข็งซึ่งเป็นวัสดุในท้องถิ่นและดั้งเดิมจะใช้ระบบเดือยไม้เพื่อให้สามารถถอดหรือประกอบได้ง่าย โดยส่วนประกอบหลักของเครื่องทอผ้าแบบขาตั้ง มีดังนี้
๑. เสาหลักขาตั้งหูก เป็นเสาทรงสี่เหลี่ยม ขนาดสูงเท่ากันมี ๔ ต้น ยกเว้นกลุ่มชาวกุยหรือด้วย เขมร ที่ใช้เสาสูง ๒ ต้นเตี้ย ๒ ต้น
๒. ไม้คานหูก เป็นคานไม้พายเชื่อมต่อระหว่างเสาหลักทั้ง ๔ ต้น เครือเส้นด้ายยืนพาดบนไม้คาน ด้านหน้าแล้วโยงมาผูกไม้คานด้านหลังตึงเส้นยืนให้ตึงในกรณีกลุ่มชาติพันธุ์ชาวภูไท และชาวไท-ลาว ส่วนกลุ่มชาวไทยเชื้อสายเขมรและชาวกูย ไม้คานหูกจะอยู่บนเสา ๒ ต้น ที่พาดไม้หาบหูกเพื่อพยุงฟันฟืมและแผงตะกอ
๓. ไม้รองนั่ง (Bench) เป็นแผ่นไม้ที่พาดไว้บนคานไม้ด้านล่างด้านคนทอ เพื่อให้คนหอนั่งและวางอุปกรณ์การทอ เช่น ตะกร้าใส่หลอดด้าย กระสวย ฯลฯ
๔. ไม้ม้วนผ้า (Cloth beam) เป็นไม้ท่อนสี่เหลี่ยม ที่ปลายทั้งสองข้างเสียบเข้าเดือยที่หลักไม้ด้านใกล้ผู้ถือเพื่อม้วนเก็บผ้าที่ทอเสร็จเรียบร้อยเอาไว้ กลุ่มไท-ครั่ง (ลาวครั่ง ลาวเวียง ลาวกา) เรียกว่า ไม้กำพัน แต่ทางภาคอีสานเรียกว่า ไม้กําพั่น ซึ่งเรียกต่างกันเพียงระดับการออกเสียง
๕. ไม้หาบหูก เป็นไม้ไผ่กระบอกขนาดกลางยาวพาดคานไม้ เพื่อให้ผูกเชือกโยงทีมและรอกที่พยุงตะกอหรือเขาเอาไว้ไม้หาบหูกนี้หากเสาหลักสูง บางท้องถิ่นก็จะผูกห้อยต่ำลงมาจากคานไม้อีกทีหนึ่ง
๖. ไม้เหยียบหูก (Treadles) เป็นไม้ไผ่ลําขนาดเล็ก ยาวประมาณ ๑ เมตร ผูกโยงกับตะกอหรือเขาสําหรับเหยียบ เพื่อบังคับการสลับขึ้นลงของ เครือเส้นด้ายยืน โดยปกติจะมี ๒ อัน สําหรับการทอแบบสองตะกอ แต่ถ้าเป็นการทอผ้าแบบตามตะกอก็จะมี ๓ อัน และถ้าเป็นการทอผ้ายกดอกพื้นฐาน ๔ - ๘ ตะกอ จํานวนไม้เหยียบหูกก็จะมีจํานวนเท่ากันกับจํานวนตะกอที่ใช้ในการทอผ้า
๗. ตะกอหรือเขา (Heddle) เป็นแผงเส้นด้ายที่ถักเกี่ยวเครือเส้นด้ายยืนเอาไว้ โดยใช้ไม้ไผ่ ๒ ซี่เป็นคาน โดยปกติถ้าเป็นผ้าทอแบบสองตะกอก็จะ มีตะกอหรือเขา ๒ อัน ซึ่งจะคัดเก็บเครือเส้นด้ายยืนสลับกันเส้นต่อเส้น เพื่อยกเปิดเส้นด้ายยืนให้แยกขึ้น - ลง ทําให้ช่างทอผ้าสามารถสอดกระสวยเส้น ด้ายพุ่งผ่านไปสานทอดเพื่อให้เกิดเป็นผืนผ้า ซึ่งหากมีการเพิ่มจํานวนแผงตะกอ ๔ - ๘ ตะกอ ก็จะสามารถสร้างลวดลายบนผืนผ้าได้
๘. ฟืม (Beater/ Batten) ที่ประกอบด้วยฟันหวี (Reed beam) เป็นอุปกรณ์การทอที่สําคัญ อยู่หน้าตะกอหรือเขาที่ใช้กระทบเส้นด้ายพุ่งให้สานทอ กับเส้นด้ายยืนเป็นผืนผ้า หน้าทีมจะมีทั้งขนาดยาวและขนาดสั้น ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการทอผ้าว่าต้องการจะทอผ้าหน้ากว้างหรือผ้าหน้าแคบ สามารถ ถอดเปลี่ยนได้ โดยจำแนกชนิดฟันฟืมในภาคอีสานออกเป็น ๒ ประเภท คือ (๑) “ฟืมซา” เป็นฟันฟืมที่มีขนาดช่องฟันฟืมค่อนข้างห่าง เหมาะสําหรับการ ทอผ้าฝ้ายที่มีขนาดเส้นใยค่อนข้างหนา (๒) "ฟืมขัน” เป็นฟันฟืมที่มีขนาดช่องฟันฟืมค่อนข้างถี่ เหมาะสําหรับการทอผ้าไหมที่มีขนาดเส้นใยเล็กบาง ดั้งเดิม ในภาคอีสานจะใช้ซี่ไม้ไผ่ในการผูกร้อยทําฟันฟืม ที่ต่อมาในปัจจุบันนิยมใช้ซี่โลหะทําฟันฟืมแข็งแรงมาใช้แทนไม้ไผ่ที่อาจผุพังไปตามกาลเวลา
กลุ่มชาติพันธุ์ไท-ลาวในภาคอีสานหรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นกลุ่มที่น่าจะมีจํานวนมากที่สุด มีประชากรกระจาย อยู่ทั่วไปในพื้นที่ทั้งบริเวณอีสานตอนบนและอีสานตอนล่าง ซึ่งมีภูมิปัญญาการทอผ้าทั้งวัสดุเส้นใยฝ้ายและเส้นใยไหมอันเป็นวัสดุเส้นใย หลักของการทอผ้าในลุ่มแม่น้ําโขง ซึ่งยังสืบทอดมรดกภูมิปัญญาวัฒนธรรมทอผ้าจนถึงปัจจุบัน
เครื่องทอผ้า (กี่หรือหูก) ของกลุ่มไท-ลาวนี้ จะมีลักษณะโครงสร้างหลักตามแบบมาตรฐานของเครื่องทอผ้าแบบขาตั้ง คือ มีเสา หลัก ๔ ต้น และมีคานไม้บนเชื่อมต่อกันทั้ง ๔ ด้าน แต่มีเอกลักษณ์พิเศษ คือ ส่วนคานไม้ด้านล่างไต้ระดับไม้รองนั่งจะมีส่วนยาวยื่นออกไปอีก เพื่อเพิ่มระบบการพักของเครือเส้นด้ายยืนให้มีความยาวมากขึ้น ซึ่งลักษณะเครื่องทอผ้าแบบนี้มีระบบโครงสร้างเหมือนกับลักษณะของเครื่องทอผ้าที่ใช้ในกลุ่มชาติพันธุ์ไท-ยวน ในดินแดนล้านนา หรือพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย ที่ในอดีตเคยมีประวัติศาสตร์ที่ สัมพันธ์กันระหว่างล้านนา ล้านช้าง อาจทําให้เกิดการแลกเปลี่ยนรูปแบบเครื่องทอผ้าที่เป็นระบบเดียวกัน ก็เป็นประเด็นที่น่าศึกษา ไปในอนาคต
สําหรับความสัมพันธ์ของเครื่องทอผ้าของชาวไท-ลาว กับเครื่องทอผ้าของชาวภูไทนั้น แม้จะมีโครงสร้างเครื่องทอผ้าแตกต่างกัน ที่คานหูกชิ้นล่างที่ยาว แต่ก็มีข้อสังเกตระบบเครือเส้นยืนที่คล้ายกันระหว่างเครื่องทอผ้าไท-ลาว มีลักษณะร่วมกับเครื่องทอผ้าของกลุ่ม ชาวภูไท คือ การวิ่งเส้นยืนย้อนขึ้นไปด้านบนคานหูก แล้วมัดรวมกันบนคานหูกเหนือศีรษะของช่างทอผ้า ที่ช่างทอผ้าสามารถยื่นมือขึ้นไปเลื่อนระดับของเส้นยืน ให้เลื่อนไปตามระยะความยาวของเส้นใยที่ทอเสร็จ เพื่อรักษาความตึงของเส้นยืน ซึ่งระบบนี้เหมาะกับ การทอเส้นยืนที่เป็นวัสดุเส้นใยฝ้าย เพราะแข็งแรง แม้จะผูกมัดหลายรอบก็ไม่แตกเสียหายง่ายๆ
กลุ่มชาติพันธุ์ชาวภูไท (ผู้ไทย) เป็นชุมชนที่อาศัยกระจายอยู่บริเวณเทือกเขาภูพาน ปราชญ์ชุมชนได้อธิบายว่า “ชาวภูไท" ไม่ใช่แปลว่า คนบนภูเขาหรือชาวเขา แต่หมายถึง “คนอยู่ใกล้ภูเขา” มีภูเขาช่วยบังลมพายุ ดังข้อมูลการตั้งถิ่นฐานว่าต้องย้ายถิ่นจากที่ โล่งแจ้งเพราะเจ็บป่วยจากแรงลม เมื่อย้ายไปอยู่ใกล้ภูเขาก็อาศัยอยู่ได้สบายดีไม่ล้มป่วย โดยชุมชนชาวภูไทที่ยังคงสืบทอดการทอผ้าทั้ง เส้นใยฝ้ายและเส้นใยไหมในภาคอีสานหรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คือ ชุมชนชาวภูไทในจังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดมุกดาหาร และบางส่วน ในจังหวัดยโสธร จังหวัดอุบลราชธานี เป็นต้น ส่วนกลุ่มอื่นๆ อาจเข้มแข็งเรื่องวัฒนธรรมการแสดงดนตรีฟ้อนรํา แต่ขาดการสืบทอดภูมิปัญญาทอผ้า การศึกษาผ้าโบราณครบทุกกลุ่มจะช่วยให้เราเห็นภาพรวมภูมิปัญญาผ้าขาวภูไท ได้ชัดเจนขึ้น
เครื่องทอผ้า (กี่หรือหูก) ของกลุ่มนี้ มีลักษณะโครงสร้างของเครื่องทอผ้าแบบขาตั้ง จะมีเสาหลัก ๔ ต้น และมีคานไม้บนเชื่อมต่อ ๔ ด้าน แต่ส่วนที่เป็นเอกลักษณ์พิเศษ คือ การไม่มีส่วนคานไม้ด้านล่างใต้ระดับไม้รองนั่งจะมีส่วนยาวยื่นออกไปแบบเครื่องทอผ้า กลุ่มไท-ลาว ทําให้ชาวภูไทใช้พื้นที่น้อยกว่าในการใช้งาน
สําหรับส่วนของการใช้งานที่เครื่องทอผ้าชาวภูไทเป็นลักษณะร่วมกับเครื่องทอผ้าของกลุ่มชาวไท-ลาว คือ การขึงเส้นยืนย้อนขึ้น ไปด้านบนคานหูก แล้วมัดรวมกันบนคานหูกเหนือศีรษะของช่างทอผ้า ที่สามารถยื่นมือขึ้นไปเลื่อนระดับของเส้นยืน ให้เลื่อนไปตามระยะ ความยาวของเส้นใยที่ทอเสร็จ เพื่อรักษาความตึงของเส้นยืน
พื้นที่ภาคอีสานตอนล่างโดยเฉพาะที่จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นแหล่งภูมิปัญญาการทอผ้าไหมที่เก่าแก่และสําคัญของประเทศไทย ที่กลุ่มคนไทยเชื้อสายเขมรอาศัยอยู่ในพื้นที่ตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา ผ้าทอของกลุ่มนี้มีข้อน่าสังเกต คือ ระบบตะกอเนื้อผ้าของกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ นิยม “ทอผ้า ๓ ตะกอ” เพื่อให้เนื้อผ้าไหมแน่นและแข็งแรงขึ้น ส่วนลวดลายผ้ามัดหมี่ก็สามารถเกิดแนวการสะท้อนเหลือบสีสะท้อนก็แตกต่างกันระหว่างสีเนื้อผ้าด้านนอกและสีเนื้อผ้าด้านในที่แตกต่างกัน
เครื่องทอผ้า (กี่หรือเก๊ย) กลุ่มวัฒนธรรมคนไทยเชื้อสายเขมร มีลักษณะแตกต่างจากกลุ่มอื่น โดยมีเอกลักษณ์เฉพาะที่ระบบตะกอ เครื่องทอผ้าของกลุ่มนี้ จะใช้ระบบตะกอ ขั้นต่ำ "จํานวน ๓ ตะกอ” ส่วนโครงสร้างเครื่องทอผ้า จะมีเสาหลักสูงที่ไว้พาดคาน อาจมีเพียง ๒ เสา หรือ ๔ เสา ที่ตั้งไว้ด้านที่นั่งช่างทอผ้า ส่วนเสาด้านตรงข้ามจะเป็นเสาเตี้ยเพียงระดับเดียวกับไม้รองนั่งของช่างทอผ้า ซึ่งแตกต่างจากเครื่องทอผ้าทั่วไป ส่วนรอกจะนิยมใช้เป็นปล้องไม้ไผ่ขนาดเล็กแทนรอกสําหรับชาวบ้าน แต่ถ้าเป็นรอกของคนมีฐานะจะนิยมแกะสลักไม้จนสวยงาม จุดเด่นของเครื่องทอผ้าแบบเขมรคือ “วิธีการม้วนเก็บเส้นด้ายยืน” จะสังเกตได้ที่ไม้ม้วนเก็บเครือเส้นด้ายยืนที่ช่วยให้เส้นไหมตั้งเรียบตรง ขนานกันกับฟืมช่วยให้เส้นไหมไม่ขาดเสียหายง่าย โดยที่หัวปลายไม้ทั้งสองข้างจะนิยมแกะสลักอย่างสวยงาม ซึ่งช่างฝีมือการแกะสลักไม้ ยังคงสืบทอดอยู่ที่จังหวัดศรีสะเกษ
ในบริเวณภาคอีสานตอนล่าง นอกจากกลุ่ม คนไทยเชื้อสายเขมรแล้ว ยังมีกลุ่มคนไทยเชื้อสายชาวกูย (ส่วย) ที่เป็นกําลังสําคัญของการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม พื้นบ้านที่ยังคงเป็นอยู่ถึงปัจจุบันโดยทั่วไปสังคมไทยเรา จะรู้จักกลุ่มนี้เฉพาะกลุ่มชาวกูยเลี้ยงช้าง ที่อําเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ ส่วนกลุ่มชาวกูยอื่นๆ ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในจังหวัดศรีสะเกษ จากการลงพื้นที่ได้ข้อสังเกตว่ากลุ่มคนไทยเชื้อสายเขมรและกลุ่มคนไทยเชื้อสายกูย (ส่วย) แม้จะมีการทอผ้าลวดลายและสีสันคล้ายคลึงกัน แต่ก็ผลิตออกจากเครื่องทอผ้าที่มีโครงสร้างแตกต่างกัน ดังนั้น เครื่องทอผ้าจึงเป็นสิ่งบ่งบอกเอกลักษณ์หรือความแตกต่างทางวัฒนธรรมระหว่างกลุ่มทั้งสอง ที่อาศัยในพื้นที่ใกล้เคียงกันได้เป็นอย่างดี
ลักษณะของเครื่องทอผ้าของกลุ่มกูยหรือส่วย ในบริเวณตอนล่าง เช่น จังหวัดสุรินทร์ จังหวัด บุรีรัมย์ และจังหวัดศรีสะเกษ โดยเฉพาะในกลุ่ม หรือ ส่วย เลี้ยงช้างนั้น การทอผ้าจะแตกต่างมีลักษณะ เฉพาะ คือ "การตั้งเครือเส้นยืนที่ไม่มีการม้วนเก็บ” แต่ จะขึงเครือเส้นด้ายยืนยาวไปจนสุดแล้วผูกกับเสาหรือรั้วในหมู่บ้านเลี้ยงช้างโดยนิยมใช้รอกเป็นปล้องไม้ไผ่ขนาด เล็กเรียบง่าย โครงสร้างอื่นของเครื่องทอผ้าคล้ายคลึงกับเครื่องทอผ้าแบบชาวไทยเชื้อสายเขมร คือ ใช้เสาหลัก เพียง ๒ เสาตั้งไว้รับคานหูกที่แขวนตะกอและฟืมเอาไว้
นอกจากนี้เครื่องทอผ้าของกลุ่มกูย (ส่วย) มีจุดเด่นให้สังเกตได้จาก จํานวนเสาหลักของเครื่องทอผ้าที่จะมีเพียง ๒ เสา เพราะเส้นยืนทอดยาวไปจนสุด ไม่ต้องใช้เสาหลักอีกด้านเพื่อพาดเส้นใยย้อนกลับมาหาด้านบนศีรษะช่างทอผ้าแบบเครื่องทอผ้าของกลุ่มชาวไท-ลาวและชาวภูไท ดังนั้นช่างทอผ้าชาวกูยหรือส่วยจึงต้องขยันลุกไปหวีเครือหูกให้เส้นใยไหมสะอาดอยู่เสมอ และความยาวของเครือเส้นยืนจึงอาจจะมีความยาวที่สั้นลงกว่าเครื่องทอผ้าแบบของชาวไทยเชื้อสายเขมรที่ใช้การพับม้วนเส้นยืน ซึ่งสามารถม้วนเก็บเส้นยืนที่ยาวกว่าได้ ซึ่งในการตั้งเครือเส้นยืนแบบนี้จําเป็นต้องใช้สมาชิกในครอบครัวช่วยกันหลายคนเพราะด้านหนึ่งต้องดึงไว้ขนานกัน ด้านหนึ่งใส่กับไม้ม้วนผ้า ส่วนอีกด้านจะนําไปยึดไว้กับหลักปลายเส้นยืน
การอาศัยอยู่ร่วมในพื้นที่ใกล้เคียงกันของกลุ่มคนไทยเชื้อสายชาวกูยและคนไทยเชื้อสายเขมร ทําให้ทั้งสองกลุ่มนี้ได้เกิดการแลกเปลี่ยนทาง วัฒนธรรม ทําให้มีลักษณะร่วมกันที่แสดงร่องรอยความสัมพันธ์ของวัฒนธรรม ระหว่างสองกลุ่มไว้ในเครื่องทอผ้า คือ “การใช้ไม้เหยียบหูกแบบขนานกับ แนวแผงตะกอ” ที่เหมือนกัน ซึ่งทําให้การควบคุมแผงตะกอนั้นยกระดับหรือ กดลดระดับได้ดี เพราะมีเส้นเชือกถึงสองเส้นดึงแผงตะกอทั้งด้านขวามือและด้านซ้ายมือลง อันเป็นจุดแตกต่างจากไม้เหยียบหูกของกลุ่มไท-ลาวและกลุ่มชาวภูไทที่จะมีเชือกเพียงเส้นเดียวผูกดึงที่กึ่งกลางตะกอ ทําให้ต้องใช้ทักษะมากในการควบคุมให้แผงตะกอไม่ให้เอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งช่างทอผ้ากลุ่มคนไทยเชื้อสายชาวกูยที่ใช้ไม้เหยียบหูก ที่เป็นแผงยาวขนานแผงตะกอด้านบน จะสามารถควบคุมจังหวะการเหยียบตะกอได้ง่าย ทําให้เนื้อผ้าไหมของกลุ่มนี้มีคุณภาพดี
จากการลงพื้นที่ในจังหวัดศรีสะเกษ พบว่ากลุ่มชาติพันธุ์ไท-ลาว มีการแต่งงานกับกลุ่มชาติพันธุ์ชาวกูย ซึ่งมีภูมิปัญญาการทอผ้าด้วยเส้นใยไหมอันเป็น วัสดุเส้นใยหลักของการทอผ้าในลุ่มชาวกูย จึงน่าจะเกิดการผสมผสานวัฒนธรรมดังสามารถสังเกตได้ในรูปแบบของเครื่องทอผ้าของทั้งสองกลุ่มในพื้นที่
เครื่องทอผ้า (กี่หรือหูก) แบบของ ไท-ลาว ผสมกับแบบของชาวกูย/ส่วย นั้น จะมีลักษณะโครงสร้างหลักตามแบบมาตรฐานของเครื่องทอผ้าแบบขาตั้งของชาว ไท-ลาว คือ มีเสาหลัก ๔ ต้น และมีคานไม้บนเชื่อมต่อกันทั้ง ๔ ด้าน แต่มีเอกลักษณ์พิเศษ คือ ส่วนคานไม้ด้านล่างใต้ระดับไม้รองนั่งจะมีส่วนยาวยื่นออกไปอีก เพื่อเพิ่มระยะการพักของเครือเส้นด้ายยืนให้มีความยาวมากขึ้น แต่ในกรณีที่ทอด้วยเส้นใยไหม ช่างทอจะตั้งระบบเครือเส้นยืนแบบชาวกูย/ส่วย คือใช้การวิ่งเครือเส้นยืนยาวไปจนสุด ดังนั้นรูปแบบของเครื่องทอจะเป็นโครงสร้างเครื่องทอผ้าแบบไท-ลาว แต่ในระบบการตั้งเส้นยืนจะใช้ระบบตามแบบของชาวกูย
แต่ในกรณีที่ใช้ทอผ้าฝ้ายจะสามารถกลับมาใช้ระบบเครือเส้นยืนแบบชาวไท-ลาว คือ การย้อนเครือเส้นยืนขึ้นไปบนคานหูก และนํามาผูกไว้เหนือศีรษะช่างทอผ้า เพื่อจะสามารถปรับขยับเลื่อนระยะเส้นยืนไปทดแทนส่วนเส้นยืนที่ทอเสร็จแล้ว และปรับระดับเครือเส้นยืนให้ตึง จึงนับเป็นตัวอย่างเครื่องทอผ้าที่เป็นการผสมผสานของ สองวัฒนธรรมในภาคอีสานที่น่าสนใจ ที่เป็นการประยุกต์การใช้งานที่แม้ไม่เปลี่ยนโครงสร้างเครื่องทอผ้า แต่สามารถนําใช้ได้เพียงปรับการตั้งระบบเครือเส้นยืนเท่านั้นเอง
๑. กระสวยแบบเรือ ๑ หลอด หรือแกนเดี่ยว ทําจากไม้เนื้อแข็ง ยาวประมาณ ๑๒ - ๑๔ นิ้ว โดยถากเนื้อไม้ให้เป็นรูปคล้ายลำเรือ ตรงกลาง ของกระสวยเซาะบากเป็นร่องลึก ๑ ช่อง และเจาะรูด้านข้าง ๑ รู เพื่อสอดเส้นด้ายออก เป็นกระสวยที่ใช้ใส่หลอดด้ายเส้นพุ่งได้เพียงหลอดเดียวเหมาะ สําหรับใช้ทอผ้าเนื้อบาง ทั้งผ้าไหมและผ้าฝ้าย ซึ่งกระสวยทอผ้าไหมจะมี ขนาดเล็กเรียวกว่ากระสวยทอผ้าฝ้าย
๒. กระสวยแบบเรือ ๒ หลอด หรือแกนคู่ ทําจากไม้เนื้อแข็งยาว ประมาณ ๑๔ - ๑๖ นิ้ว โดยถากไม้ให้เป็นรูปคล้ายลําเรือ ช่วงกลางแบ่งเซาะ บากเป็นร่องลึกอีก ๒ ช่อง ใช้สําหรับใส่หลอดด้ายเส้นพุ่ง ๒ หลอด และเจาะรู ด้านข้าง ๒ รู เพื่อสอดเส้นด้ายออก นิยมใช้ทอผ้าเนื้อหนา โดยใส่เส้นใย สีเดียวกันทั้ง ๒ หลอด ในขณะเดียวกันก็สามารถประยุกต์ใส่หลอดด้าย ๒ สีเพื่อสร้างลายผ้าที่มีสองสีผสมกัน
๓. กระสวยแบบเรือ ๓ หลอด ทําจากไม้เนื้อแข็งยาวประมาณ ๘ - ๒๐ นิ้ว ถากไม้ให้เป็นรูปคล้ายเรือ ช่วงกลางแบ่งเซาะบากเป็น ร่องลึก ๓ ช่อง ไว้สำหรับใส่ด้ายเส้นพุ่ง ๓ หลอด และเจาะรูด้านข้าง ๓ รูเพื่อสอดเส้นด้ายออก นิยมใช้กระสวยชนิดนี้ทอผ้าที่หนาเป็นพิเศษ เช่น ผ้าห่ม หรือทอเส้นพุ่งพิเศษในการทอขิด เป็นต้น หรือจะประยุกต์ใช้หลอดด้าย ๓ สี เพื่อสร้างลายผ้าที่มีสามสีผสมกัน
๔. "ตรน”/กระสวยหลอดยาว ทําจากไม้เนื้อแข็งยาวประมาณ ๑๒ นิ้ว ถากไม้ให้เป็นรูปทรงมนยาวปลายแหลมหนึ่งด้าน ปลายอีกด้านเจาะช่องกลางเซาะร่องลึก สำหรับใส่หลอดด้ายเส้นพุ่งที่มีขนาดยาวเท่ากระสวย นิยมใช้ ทอผ้าไหมมัดหมี่โฮลและผ้ามัดหมี่ลายละเอียด ในจังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดศรีสะเกษ
สำหรับท่านผู้สนใจ ต้องการเลือกซื้อผ้าไหมสำหรับตัดเย็บชุดหรู สามารถเข้าชมเลือกผ้าที่ร้านชอบไหม ผ่านช่องทางนี้ค่ะ www.chobmai.com ทางร้านของเราจำหน่ายผ้าไหมสีพื้น ผ้าไหมลายมัดหมี่ ผ้าไหมพื้นเมือง และผ้าไหมประจำชาติ ผ้าไหมประจำถิ่น มากมายหลากหลายเฉดสี หลายลาย พร้อมงานตัดคุณภาพปราณีตจากช่างผู้เชี่ยวชาญ
ร้านชอบไหมขอเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์วัฒนธรรมอันสวยงามนี้ให้คงไว้ ติดต่อทีมงานร้านชอบไหมเพื่อขอความช่วยเหลือในการเลือกซื้อสินค้าและคำปรึกษาเพิ่มเติมผ่านช่อง "LineOA : @chobmai" ได้ค่ะ ขอบคุณที่สนใจและเลือกซื้อสินค้าของเรา ทาง "ชอบไหม" ยินดีให้บริการค่ะ
ขอขอบคุณแหล่งที่มา: หนังสือมรดกภูมิปัญญาสิ่งทออีสาน