ชุดพระราชทาน เครื่องแต่งกายบุรุษไทย
ในฝ่ายบุรุษนั้นได้มีพัฒนาการ ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๒ โดย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานรูปแบบฉลองพระองค์ ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมาเป็นต้นแบบเครื่องแต่งกายประจําชาติสําหรับบุรุษเรียกเป็นทางการว่า“ชุดพระราชทาน”ใช้ใส่กับกางเกงสากลโดยกําหนดให้มี ๓ แบบสําหรับใช้ในโอกาสต่างๆกัน คือ
เสื้อพระราชทานแขนสั้น เสื้อพระราชทานแบนยาว เสื้อพระราชทานแขนยาวมีผ้าคาดเอว
นับเนื่องมาจนถึงปัจจุบันชุดพระราชทานที่เป็นชุดพระราชทานแก่ทั้ง บุรุษและสตรีได้ปรากฏแก่สายตาของชาวโลกให้เป็นที่ประจักษ์ถึงความงดงาม ของรูปแบบ และเนื้อผ้าที่ทอขึ้นโดยฝีมือคนไทย รวมทั้งความเหมาะสมกับโอกาส แห่งการใช้สอยและสภาพภูมิอากาศ ทําให้ชุดพระราชนิยมที่ได้พระราชทานแก่ ปวงชนชาวไทยนั้น เปรียบได้ดั่งพระเมตตาแห่งทั้งสองพระองค์ที่ได้ทรงเมตตา
ส่งเสริมความงดงามแห่งประชาราษฎรของพระองค์ เป็นเครื่องสถิตแนบกาย ดั่งสายพระเมตตาที่มีต่อชาวไทยทุกผู้ทุกคน และเป็นเครื่องแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททั้งสองพระองค์ในทุกครั้งที่สวมใส่

วิวัฒนาการ การแต่งกายไทย
ยุคก่อนประวัติศาสตร์ดินแดนอันเป็นประเทศไทยปัจจุบันนี้เมื่อในอดีต บรรพบุรุษไทย ตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยในพื้นที่แถบนี้มาหลายพันปีแล้ว จากหลักฐานทางโบราณคดีพบว่ามีการตั้งถิ่นฐานกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปทั้งประเทศผู้คนในยุคนั้นมีอารยธรรมและวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของภูมิภาค รวมไปจนถึงการทอผ้า จากเส้นใยไหม ฝ้าย กันชง และป่าน ซึ่งค้นพบหลักฐานทางโบราณคดี เป็นชิ้นส่วน ที่ติดอยู่กับเครื่องประดับสําริดที่บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี และจากแหล่ง โบราณคดีอีกหลายพื้นที่นอกจากนี้ ยังค้นพบแวดินเผาอันเป็นส่วนหนึ่งของอุปกรณ์สาว และ ปั่นเส้นใย เพื่อใช้ทอผ้าประเภทฝ้ายใยกันชง และป่านอีกเป็นจํานวนมาก รวมทั้ง พบลูกกลิ้งดินเผาที่มีลวดลายแตกต่างกันไปนับพันนับหมื่นชิ้น ล้วนแล้วแต่แสดง ให้เห็นว่าลูกกลิ้งเหล่านี้ คือแม่พิมพ์ลวดลายผ้าในอดีตหลักฐานทางโบราณคดีเหล่านี้ จึงเป็นเครื่องยืนยันว่าวัฒนธรรม การทอผ้า ได้มีการกําาเนิดและพัฒนาอยู่ในดินแดน อันเป็นประเทศไทยปัจจุบันมาแล้วหลายพันปี
ยุคก่อนไทย ทวาราวดี ศรีวิชัย ลพบุรี
ยุคประวัติศาสตร์ไทย เกิดขึ้นในราวพุทธศักราช ๑๐๐๐ แบ่งได้เป็น ๒ยุค คือ ยุคก่อนไทย และยุคไทย ในยุคก่อนไทยนั้น ประกอบด้วย กลุ่มวัฒนธรรม จากหลายพื้นที่ คือ กลุ่มวัฒนธรรมทวารวดี ศรีวิชัย และลพบุรี อารยธรรมของทั้ง กลุ่มนี้ ล้วนแล้วแต่มีแม่บทมาจากประเทศอินเดีย ดังนั้นรูปแบบการแต่งกายในยุคสมัยนี้จึงมีพื้นฐานมาจากอารยธรรมอินเดียและผสมผสานกับความนิยม เกิดเป็นเอกลักษณ์ของรูปแบบเครื่องแต่งกายในแต่ละกลุ่มวัฒนธรรมของตน ที่พบในสมัยนี้

ยุคไทย เชียงแสน สุโขทัย
ยุคไทย เป็นยุคประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้น เมื่อมีกลุ่มวัฒนธรรม ที่ใช้รากภาษาไต หรือภาษาไท รวมตัวกันตั้งถิ่นฐานมั่นคงในผืนแผ่นดินนี้ อันประกอบด้วย กลุ่มวัฒนธรรมเชียงแสนและสุโขทัย ในบางครั้งจะรวมเรียกว่า กลุ่มวัฒนธรรมล้านนา โดยได้รับอารยธรรมจากอินเดีย พม่า จีน และอารยธรรมจากอาณาจักรล้านช้าง ซึ่งปัจจุบันคือประเทศลาว รวมทั้งยังมีวัฒนธรรมเขมรปรากฏอยู่บ้าง อย่างประปราย กลุ่มวัฒนธรรมที่ใช้รากภาษาไทกลุ่มนี้ ถือเป็นแม่บทของวัฒนธรรม ล้านนาในปัจจุบัน
ประมาณ ปี พ.ศ. ๑๘๙๗ อาณาจักรอยุธยา ได้ถือกําเนิดขึ้นบริเวณ ใกล้ปากแม่น้ำเจ้าพระยา ในช่วงระยะเวลาแรกรูปแบบการแต่งกายยังไม่ปรากฏ หลักฐานอย่างชัดเจนจนกระทั่งราวปี ๒๐๐๐ ลงมา จึงเริ่มค้นพบหลักฐาน ทางโบราณคดี อันเป็นเครื่องยืนยันให้เห็นชัดเจนถึงรูปแบบการแต่งกายอันเป็น เอกลักษณ์เฉพาะตัว ตลอดระยะเวลา ๔๑๗ ปี ของกรุงศรีอยุธยา ได้มีเหตุการณ์ สําคัญๆ เกิดขึ้นอย่างมากมาย ล้วนมีผลต่อรูปแบบการแต่งกายทั้งสิ้น ดังนั้นรูปแบบ การแต่งกายของสมัยนี้จึงมีความหลากหลาย และมีผลสืบทอดมาจนถึงสมัยกรุงธนบุรีและต้นกรุงรัตนโกสินทร์ที่ยังคงยึดรูปแบบการแต่งกายตามจารีตนิยมของกรุงศรีอยุธยา ไว้ทุกประการ
ยุครัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ - ๔นับเนื่องจากรัชกาลของพระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๙ ผ่านมา จนถึงรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ รูปแบบการแต่งกาย ยังคงเป็นไปตามแบบกรุงศรีอยุธยา เนื่องจากพระมหากษัตริย์ทั้ง ๒ รัชกาลแรก เสด็จพระราชสมภพตั้งแต่แผ่นดินกรุงศรีอยุธยา และทรงเลี้ยงดูพระราชโอรสทั้ง รัชกาลที่ ๓และ ๔มาด้วยจารีตแบบอยุธยาดั้งเดิม แต่ในช่วงปลายรัชกาลที่ ๔ มีรูปแบบการแต่งกายพัฒนาขึ้นจากเดิม คือ การสวมใส่เครื่องแต่งกายตามแบบ ตะวันตก เช่น สนับเพลา และฉลองพระองค์แบบตะวันตก เป็นต้น
ยุครัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๕ - ๖
ครั้นถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ นับเป็นศักราชแห่งการก้าวเข้าสู่รูปแบบการแต่งกายแบบตะวันตก ที่ชัดเจนมากขึ้น แต่ก็ยังคงรูปแบบการแต่งกายตามจารีตประเพณีนิยมดั้งเดิมไว้พร้อมๆกันไปด้วย จึงถือเป็นยุคสมัยแห่งการผสมผสานการแต่งกายระหว่างตะวันตกและตะวันออกอย่างชัดเจนต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖เป็นยุคที่รับอารยธรรมตะวันตกเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทย พระองค์แรกที่ทรงจบการศึกษาจากยุโรป รวมทั้งเจ้านายและบุตรหลาน ของข้าราชการอีกเป็นจํานวนมากเช่นกัน และการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ ๑ ด้วย ดังนั้นพระราชนิยมที่เกิดขึ้นในรัชกาลนี้จึงมี ๒ แบบ คือ แนวพระราชนิยม ตามแบบอนุรักษ์นิยม และ แบบสากลนิยม

ยุครัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๗ - รัชกาลปัจจุบัน
รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ 4 และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ มีอิทธิพลของตะวันตกเพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจนประชาชนชาวไทยในภาวะสงคราม และหลังสงครามหันไปใช้ผ้าและรูปแบบการแต่งกายตามแบบตะวันตกเพิ่มมากขึ้น จนอาจกล่าวได้ว่ารูปแบบการแต่งกายตามประเพณีนิยมในอดีตของสมัย รัตนโกสินทร์ตอนต้นได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปจนเกือบหมดสิ้นครั้นถึงรัชกาลปัจจุบัน อิทธิพลการแต่งกายตามแบบตะวันตกก็ยังถาโถม เข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยความสนพระราชหฤทัยในปากท้องของราษฎร และ ศิลปะผ้าไทยของพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จึงทรงฟื้นฟูผ้าไทยและชุดไทย ขึ้นมาอีกครั้ง

การทําหนดแบบเสื้อชุดไทย บุรุษไทย
คนไทยเรามีแบบการแต่งกายของตนเองมาเป็นเวลาช้านาน และได้มี
วิวัฒนาการมาเป็นลําดับ โดยได้รับการถ่ายทอดวัฒนธรรมของต่างประเทศเข้ามาในรูปแบบของเครื่องแต่งกายด้วย ตราบจนปัจจุบันนี้ คนไทยยึดถือแนวการแต่งกายของชาวตะวันตก อันเป็นที่ยอมรับเป็นแนวการแต่งกายของนานาประเทศ ซึ่งในบางโอกาสเครื่องแต่งกายสากลบางแบบไม่สู้จะเหมาะสมกับสภาพดินฟ้าอากาศและสภาพแวดล้อมของประเทศไทยนักสําหรับหญิงไทยนั้นมีชุดไทยพระราชนิยม ซึ่งได้ยึดถือแต่งกายเป็นแบบเสื้อชุดไทยอยู่แล้ว ส่วนแบบเสื้อของชายไทย ที่เป็นชุดไทยยังไม่มีปัจจุบันนี้ เสื้อแบบพระราชทานเป็นที่นิยมแพร่หลายขึ้น สมควร จะได้กําหนดให้เป็นแบบเสื้อชุดไทยของบุรุษไทย อันจะเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของคนไทยต่อไป

แบบเสื้อบุรุษไทย ๓ แบบ
๑. แบบแขนสั้นเป็นเสื้อคอตั้งสูงประมาณ๓.๕-๔ ซม. ตัวเสื้อเข้ารูปเล็กน้อย และผ่าอกตลอด มีสาบกว้างประมาณ ๓.๕ ซม. ขลิบรอบคอและสาบอก ปลายแขนลิบหรือพับแล้วขลิบที่รอยเย็บ ติดกระดุม ๕ เม็ด กระดุมมีลักษณะเป็นรูปกลม แบนทําด้วยวัสดุหุ้มด้วยผ้าสีเดียวกัน หรือคล้ายคลึงกับเสื้อ กระเป๋าบนมีหรือ ไม่มีก็ได้ ถ้ามีให้เป็นกระเป๋าเจาะข้างละ ๑ กระเป๋า อยู่สูงกว่าระดับกระดุมเม็ด สุดท้ายเล็กน้อย ขอบกระเป๋ามีขลิบ ชายเสื้ออาจจะผ่ากันตึง เส้นรอยตัดต่อมีหรือไม่มีก็ได้ ถ้ามีให้เดินจักรทับตะเข็บ

๒. แบบแขนยาวเป็นเสื้อคอตั้งสูงประมาณ ๓.๕-๔ ซม. ตัวเสื้อเข้ารูปเล็กน้อยผ่าอกตลอด มีสาบกว้างประมาณ ๓.๕ ซม. ขลิบรอบคอและสาบอกติดกระดุม ๕ เม็ด กระดุมมีลักษณะเป็น รูปกลมแบนทําด้วยวัสดุหุ้มด้วยผ้าสีเดียวกัน หรือคล้ายคลึงกับเลือกระเป๋าบน มีหรือไม่มีก็ได้ ถ้ามีให้เป็นกระเป๋าเจาะ ข้างซ้าย ๑ กระเป๋า กระเป๋าล่างเป็นกระเป๋าเจาะข้างละ ๑ กระเป๋า อยู่สูงกว่าระดับกระดุมเม็ดสุดท้ายเล็กน้อยขลิบที่ขอบแขนเสื้อตัดแบบเสื้อสากลปลายแขนเย็บทาบด้วยผ้าชนิดและสีเดียวกันกับตัวเสื้อ กว้างประมาณ ๔-๕ ซม. โดยเริ่มจากตะเข็บด้านใน อ้อมด้านหน้า ไปสิ้นสุดเป็นปลายมน ทับตะเข็บด้านหลังชายเสื้อ อาจผ่า กันตึง เส้นรอยตัดต่อมีหรือไม่มีก็ได้ถ้ามีให้เดินจักรทับตะเข็บ

๓. แบบแขนยาวคาดเอวตัวเสื้อมีลักษณะเดียวกับแบบที่ ๒ แต่มีผ้าคาดเอว ขนาดกว้างยาวตามความเหมาะสมสีกลมกลืน หรือตัดกับสีของเสื้อ ผูกเงื่อนแน่น ทางซ้ายมือของผู้สวมใส่

ชนิดของผ้า
เสื้อชุดไทยนี้ควรเลือกใช้ผ้าตามความเหมาะสม และควรเป็นผ้า ที่ทําในประเทศไทย สีเรียบจาง หรือมีลวดลายสุภาพ ตามความเหมาะสมกับโอกาสในการสวมใส่
แบบและโอกาสในการสวมใส่เสื้อชุดไทยนี้ให้ใช้ควบคู่กับกางเกงสีสุภาพ หรือสีเดียวกันกับเสื้อโดยให้ใช้แทนชุดสากลนิยม หรือเสริมเพิ่มเติมจากชุดสากลนิยมได้ทุกโอกาส แต่มิใช่เป็นการทดแทนชุดสากลนิยมโดยสิ้นเชิง โดยมีรายละเอียดดังนี้
๑. ชุดไทยแขนสั้น ใช้สีเรียบจาง หรือมีลวดลายสุภาพ ในโอกาส ธรรมดาทั่วไป หรือในการปฏิบัติงาน หรือในการปฏิบัติงาน หรือในโอกาสพิธีการ กลางวัน และอาจใช้สีเข้มได้ในโอกาสพิธีการเวลากลางคืน
๒. ชุดไทยแขนยาว ใช้สีเรียบจาง หรือมีลวดลายสุภาพ ในโอกาส พิธีการเวลากลางวัน และอาจใช้สีเข้มในโอกาสพิธีการเวลากลางคืนได้ ๓. ชุดไทยแขนยาวคาดเอว ใช้ในโอกาสพิธีการที่สําคัญมากๆ
๔. โอกาสงานศพ ให้ใช้เสื้อแขนสั้นหรือแขนยาวสีขาว กางเกงสีดําหรือสีขาวทั้งชุด หรือสีดํา ทั้งชุด กรณีใช้เสื้อชุดไทยแขนยาวสีขาวหรือสีดํา ให้ติดแขนทุกข์ด้วย (เสื้อชุดไทยแขนสั้นไม่ต้อง ติดแขนทุกข์)

สำหรับท่านผู้สนใจ ต้องการเลือกซื้อผ้าไหมสำหรับตัดเย็บชุดหรู สามารถเข้าชมเลือกผ้าที่ร้านชอบไหม ผ่านช่องทางนี้ค่ะ www.chobmai.com ทางร้านของเราจำหน่ายผ้าไหมสีพื้น ผ้าไหมลายมัดหมี่ ผ้าไหมพื้นเมือง และผ้าไหมประจำชาติ ผ้าไหมประจำถิ่น มากมายหลากหลายเฉดสี หลายลาย พร้อมงานตัดคุณภาพปราณีตจากช่างผู้เชี่ยวชาญ
ร้านชอบไหมขอเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์วัฒนธรรมอันสวยงามนี้ให้คงไว้ ติดต่อทีมงานร้านชอบไหมเพื่อขอความช่วยเหลือในการเลือกซื้อสินค้าและคำปรึกษาเพิ่มเติมผ่านช่อง "LineOA : @chobmai" ได้ค่ะ ขอบคุณที่สนใจและเลือกซื้อสินค้าของเรา ทาง "ชอบไหม" ยินดีให้บริการค่ะ