จากการศึกษาตัวอย่างผ้าโบราณทั้งในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ และในคลังสะสมส่วนบุคคล ทำให้ได้ข้อสังเกตว่า เจ้านายเมืองอุบลฯ มีการสร้างสรรค์ลวดลายและเลือกใช้เทคนิคการทอสำหรับส่วนหัวซิ่นแตกต่างจากถิ่นฐานเดิม และจะสังเกตได้อีกว่า ผ้าซิ่นใน สปป.ลาว ไม่ค่อยเน้นการออกแบบส่วนหัวซิ่น ผ้าซิ่นของกลุ่มชาติพันธุ์ไท-ลาว และกลุ่มอื่นๆ ในภาคอีสาน หรือภาคกลางต่างไม่ค่อยให้ความสำคัญกับ “ส่วนหัวซิ่น” เพราะอาจมองว่าเป็นส่วนที่สามารถม้วนพับเก็บซ่อนไว้ที่เอวและปิดบังได้ด้วยผ้าเบี่ยงหรือเสื้อ
ในขณะที่เจ้านายเมืองอุบลฯและเครือญาติที่กระจายออกไปอยู่ในจังหวัดใกล้เคียง ต่างมีมรดกผ้าโบราณที่ทอด้วยเทคนิคการ “จก” ที่ช่วยให้สามารถสร้างสรรค์ลวดลายได้ซับซ้อน ในขณะเดียวกันก็มีการทอหัวซิ่นแบบเรียบง่ายด้วย จากหลักฐานผ้าตัวอย่างและจากผลสรุปของเวทีชุมชน สามารถจำแนกประเภทส่วนหัวซิ่นที่ช่างทอผ้าชาวเมืองอุบลฯ ได้สืบทอดและถือครองไว้เป็น ๓ ประเภทใหญ่ๆ คือ:
๑) ผ้าหัวซิ่น ที่ทอด้วยเทคนิคการ “จก”
การวิเคราะห์หลักฐานตัวอย่างผ้าพบว่ามีสร้างสรรค์ลวดลายด้วยการทอเทคนิค “จก” หลายลวดลาย ได้แก่ “ลายดาว หรือ ลายหัวจกดาว” “ลายดอกแก้ว” “ลายดอกแก้วทรงเครื่อง” เป็นต้น ซึ่งรูปแบบหัวซิ่นประเภทนี้เองที่ทำให้ผ้าทอแบบเจ้านายเมืองอุบลฯ และผ้าทอเมืองอุบลฯ แตกต่างจากผ้าในถิ่นอื่นๆ แม้จะมีวัฒนธรรมทางภาษาร่วมกัน ซึ่งเราสันนิษฐานว่า หัวซิ่นจกลวดลายนี้น่าจะมีพัฒนาการของ “ต้นกำเนิด” ในราวช่วงรัชสมัยรัชกาลที่ ๕ ด้วยมีเทคนิคร่วมกันกับ “ผ้าซิ่นทิวมุกจกดาว” และ “ผ้าเยียรบับลาว” ที่มีการใช้จาก “จกดาว” ในการจัดองค์ประกอบลวดลายผ้า เช่นเดียวกัน
๒) ผ้าหัวซิ่น ที่ทอด้วยเทคนิคการ “ขิด”
นับเป็นรูปแบบของหัวซิ่นที่ใช้กันทั่วไป น่าจะเป็นรูปแบบที่เจ้านายเมืองอุบลฯ ได้สืบต่อรูปแบบมาจากถิ่นฐานเดิม โดยอาจใช้สืบเนื่องมาถึงยุคของพระตา พระวอ ระหว่างการอพยพและการทำสงครามย้ายถิ่นฐานลงมาทางตอนใต้ของลุ่มแม่น้ำโขง แต่ก็ได้พบหลักฐานจากลวดลายที่พบโดยไปใช้กับลวดลายส่วนของการขิดลายตัวซิ่นด้วย นั่นคือ “ขิดลายสร้อยดอกหมาก” ซึ่งสำหรับกลุ่มชาติพันธุ์ไท-ลาว อื่นๆ จะขิดลายผ้าต่างออกไป ลวดลายนี้น่าจะถือกำเนิดขึ้นในดินแดนประเทศไทย เมื่อเจ้าเมืองอุบลฯ ได้ตั้งถิ่นฐานมั่นคงแล้ว
๓) ผ้าหัวซิ่น ที่ตกแต่งลายด้วยเทคนิค “มัดย้อม”
สามารถพบผ้าหัวซิ่นที่ใช้การมัดย้อม แทนการทอริ้วคั่นของผ้าซิ่นทิว ซึ่งเป็นตัวอย่างผ้าที่เชื้อสายหรือทายาทเจ้านายเมืองอุบลฯ มอบไว้ให้แก่คลังผ้าของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี โดยจำลองสีสันของแถบริ้วที่ทอคั่นสลับ ด้วยการมัดย้อมสี
กราฟลายผ้า: หัวซิ่น (ลายดาว ) เทคนิคการทอ: จก (เสริมเส้นพุ่งพิเศษเป็นจุดๆ) และ ขิด (เสริมเส้นพุ่งพิเศษตลอดหน้าผ้า)
แหล่งสืบทอดภูมิปัญญา: จังหวัดอุบลราชธานี ค้นคว้าจากคลังผ้า: พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธาน
ชื่อผ้า: หัวซิ่น (ลายดาว) เทคนิคการทอ: จก (เสริมเส้นพุ่งพิเศษ เป็นจุดๆ) และ ขิด (เสริมเส้นพุ่งพิเศษ ตลอดหน้าผ้า)
แหล่งสืบทอดภูมิปัญญา: จังหวัดอุบลราชธานี ค้นคว้าจากคลังผ้า: พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี
ชื่อผ้า: กราฟลายผ้า หัวซิ่น ลายดอกแก้วทรงเครื่อง เทคนิคการทอ: จก (เสริมเส้นพุ่งพิเศษ เป็นจุดๆ) และ ขิด(เสริมเส้นพุ่งพิเศษ ตลอดหน้าผ้า)
แหล่งสืบทอดภูมิปัญญา: จังหวัดอุบลราชธานี ค้นคว้าจากคลังผ้า: พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธาน
ประเด็นที่ได้ตรวจวิเคราะห์ความสัมพันธ์ทางศิลปะสิ่งทอ/ผ้าทอแบบเจ้านายเมืองอุบลฯ กรณี “หัวซิ่น” นั้น ได้ข้อค้นพบใหม่ ที่ยังไม่เคยมีใครนำเสนอมาก่อน คือ ความสัมพันธ์ของสัญลักษณ์ “ดาว” ที่พบใน “หิวดาว” โบราณวัตถุที่พบใน สปป.ลาว ของกลุ่มชาติพันธุ์ไท-ลาว และ “ลายดาวบนหน้ากลองมโหระทึก” ของวัฒนธรรมเก่าแก่ยุคดองซอน
นอกจากนี้ ลายจกดอกแก้ว และจกลายดาว ก็มีลวดลายเดียวกันกับ “สร้อยตัวจักสานใบลาน” ที่ใช้ในพิธีฟ้อนกลองตุ้ม จากการศึกษาวัฒนธรรมไท-ลาวทำให้พบว่า ลวดลายดาวที่ปรากฏในศิลปะต่างๆ รวมทั้งลายผ้านั้น เป็นสัญลักษณ์ร่วมกันคือ “การสื่อสารกับพญาแถน” ที่เป็นศูนย์กลางแห่งศรัทธาของกลุ่มชาติพันธุ์ไท-ลาว
เจ้านายเมืองอุบลฯ จึงได้สร้างสรรค์ศิลปะลวดลายดาวบนผืนผ้าขึ้นในดินแดนประเทศไทย เพื่อเป็นสัญลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์ผ่านลวดลายผ้า ที่สะท้อนความงดงามทางวัฒนธรรม และภูมิปัญญาของช่างฝีมือ บ่งบอกถึงรสนิยม ทักษะการทอผ้า เนื้อหาทางวัฒนธรรม ที่แฝงไว้ในลวดลายผ้า เป็นสัญลักษณ์ข้ามกาลเวลา ที่รอคอยการค้นพบ