แม้พระวินัยจะห้ามภิกษุแต่งกาย นุ่งห่ม สวมเสื้อผ้าอย่างคฤหัสถ์ ห้ามใช้เสื้อ หมวก ผ้าโพก แต่พระสงฆ์ไทยปัจจุบันนิยมครอง (สวม) อังสะที่เป็นเหมือนเสื้อกล้ามแขนเดียวตัวยาวอยู่ข้างในจีวรอีกชั้นหนึ่ง อังสะเปิดไหล่ขวาด้านหนึ่งติดกัน อีกด้าน มีกระดุมหรือสายผูกให้กระชับ ตัดเย็บด้วยผ้าสีใกล้เคียงกับจีวรโดยมากมักเย็บให้มีกระเป๋า มีชิป ไว้ใส่สิ่งของส่วนตัว (เช่นพระเครื่อง ของขลัง นาฬิกาพก ฯลฯ) พระสงฆ์มักสวมอังสะขณะอยู่ตามลำพังหรือเพื่อความสะดวกในการทำงานในวัด อังสะ ช่วยซับเหงื่อและช่วยให้ไม่ดูเหมือนภิกษุกำลังเปลือยกายท่อนบน
เฟซบุ๊กเพจ Sai Ban Muong เคยเสนอว่า อังสะมีที่มาจาก "ปัญจจีวร" ของพระภิกษุณี ซึ่งนอกจากไตรจีวรแล้ว เพื่อให้เหมาะสมกับสรีระของสตรี จึงเพิ่มจีวรอีกสองชิ้น คือ สังกัจฉิกะ (ผ้ารัดหน้าอก) และอุทกสาฏิกา (ผ้าอาบน้ำ) และว่าในเวลา ต่อมา สังกัจฉิกะเปลี่ยนจากผ้ารัดหน้าอกของภิกษุณีเป็นผ้าเฉียง ปิดไหล่ซ้ายของภิกษุในอินเดียยุคหลัง รวมถึงดินแดนอื่นๆ ทั้งลังกาและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในฤดูหนาวทางภาคเหนือของประเทศไทยหรือในต่างประเทศที่มีอากาศหนาวเย็น พระสงฆ์นิยมสวมอังสะเป็นเสื้อยืดแขนยาว สีใกล้เคียงกับจีวร เพื่อกันหนาว ทั้งยังอนุโลมให้สวมหมวกไหมพรมชนิดที่ไม่มีปีก สีเดียวกับจีวร รวมถึงถุงเท้าเพื่อความอบอุ่นได้ตามความเหมาะสมด้วยบทความนี้อ้างอิงข้อมูลจาก นิตยสารสารคดี ฉบับกุมภาพันธ์ 443 ซึ่งได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และการปฏิบัติของพระสงฆ์ในประเทศไทยไว้อย่างละเอียด พร้อมทั้งเจาะลึกถึงเรื่องราวของเครื่องนุ่งห่ม เช่น อังสะ จีวร และธรรมเนียมปฏิบัติในอดีตจนถึงปัจจุบันขอขอบคุณนิตยสารสารคดี ที่เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญในการเผยแพร่ความรู้เชิงวัฒนธรรมไทยให้เราได้ศึกษาและสืบสานต่อไป