รูปแบบการครองจีวรของพระสงฆ์ปัจจุบันมีหลายแบบ ตามความนิยมในแต่ละนิกายและแต่ละสำนักแบ่งได้กว้างๆ เป็นสองแบบ คือ ห่มคลุม กับ ห่มเฉียง ซึ่งมีรายละเอียดแยกย่อยลงไปอีก คือ
กล่าวกันว่าเป็นวิธีครองจีวรแบบดั้งเดิม คือนำจีวรมาห่มคลุมไหล่ทั้งสองข้าง ทบชายจีวรสองชายด้านบนเข้าหากัน ขมวดม้วนให้กลมแน่นพอดี ภาษาพระสงฆ์ไทยเรียก ม้วนชายจีวรนี้ว่า "ลูกบวบ" ในการห่มจีวรแบบนี้จะหนีบลูกบวบไว้ด้วยแขนซ้าย โดยใช้มือซ้ายช่วยยึดปลายสุดของลูกบวบ ส่วนมือขวาแหวกชายจีวรออกมาทางด้านขวา ใช้ห่มคลุมในเวลาออกนอกบริเวณวัดหรือในเวลาเดินทาง
คล้ายกับห่มคลุม แต่ในขั้นตอนท้ายให้เอาแขนขวาออกมาข้างนอกเปิดไหล่ขวาไว้ จีวรจึงคลุมอยู่เพียงไหล่ซ้าย ใช้ห่มเวลาอยู่ในวัด
ที่จะพับทบผ้าจีวรเข้าหากันเป็นจีบฟันปลา พาดไหล่ซ้ายแล้วดึงผ้าด้านในคลี่ออกมาพันตัวด้านขวา เหน็บชายผ้าจีวรกลับไปสอดใต้ทบผ้าจีวร ชายผ้าที่จีบอีกด้านหนึ่งคลุมลงมาถึงข้อศอกซ้าย พาดทับด้วยสังฆาฏิเหนือจีบผ้าบนไหล่ซ้าย แล้วใช้ผ้าประคดรัดจาก ด้านหลังมาผูกเป็นปมเงื่อนตรงลิ้นปี่ใต้หน้าอกการห่มดองถือว่าเป็นการนุ่งห่มอย่าง "เต็มยศ"ของพระสงฆ์ เพราะใช้ไตรจีวรครบทั้งสามผืนพระสงฆ์มหานิกายห่มดองในเวลาทำสังฆกรรมเช่น ทำวัตรเช้า-เย็น และสวดปาฏิโมกข์ ต่อมา จึงนำมาใช้เป็นเหมือนเครื่องแบบในเวลาศึกษาเล่าเรียนธรรมวินัย เช่น พระนิสิตของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย นอกจากนั้น ตั้งแต่โบราณ พระธุดงค์ซึ่งเดินเท้า มักนิยม ห่มดองระหว่างเดินทาง เพราะตามพระวินัย ต้องมีผ้าไตรจีวรติดตัวตลอดเวลา ท่านจึงนุ่งห่มไว้กับตัวเพื่อความสะดวก
มีชายจีวรที่ม้วนเป็น "ลูกบวบ" คล้ายกับการห่มคลุมแบบมหานิกาย แต่ "ลูกบวบ" หรือ ม้วนชายผ้าจีวรจะอยู่ด้านขวา แล้วนำมาพาดเฉียงขึ้นมาบนไหล่ซ้าย มือขวาแหวกตรงชาย ลูกบวบออกมา จึงเรียกว่า "ห่มแหวก"เดิมเป็นวิธีการครองผ้าเฉพาะของพระสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ซึ่งนุ่งห่มตามอย่างพระรามัญนิกาย (มอญ) แต่ภายหลังพระสงฆ์มหานิกายจำนวนมากหันไปครองผ้าวิธีเดียว กันนี้ จนไม่อาจใช้บ่งชี้แยกแยะได้อีกต่อไป
เป็นการห่มเฉียงโดยเพิ่มสังฆาฏิพับพาดบนบ่าข้างซ้าย เป็นรูปแบบที่พระสงฆ์ธรรมยุติกนิกายนิยมครองกัน
บทความนี้อ้างอิงข้อมูลจาก นิตยสารสารคดี ฉบับกุมภาพันธ์ 443 ซึ่งได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และการปฏิบัติของพระสงฆ์ในประเทศไทยไว้อย่างละเอียด พร้อมทั้งเจาะลึกถึงเรื่องราวของเครื่องนุ่งห่ม เช่น อังสะ จีวร และธรรมเนียมปฏิบัติในอดีตจนถึงปัจจุบันขอขอบคุณนิตยสารสารคดี ที่เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญในการเผยแพร่ความรู้เชิงวัฒนธรรมไทยให้เราได้ศึกษาและสืบสานต่อไป