ผ้ายกพุมเรียงหรือผ้ายกเมืองนคร เป็นชื่อเรียกผ้าชนิดเดียวกัน แต่เดิมสันนิษฐานว่าผ้ายกนี้ผลิตมากที่อําเภอพุมเรียง จังหวัดสุราษฎร์ธานี แต่ภูมิปัญญาในการทอมาจากหัวเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาจากช่างชาวอินเดียอีกทอดหนึ่ง
ผ้ายกชนิดนี้เป็นผ้ายกทอง กล่าวคือ เป็นผ้าที่สอดเส้นทองลงไปในผืนผ้าทําให้เกิดลวดลาย และนี่เป็นสาเหตุสําคัญที่ทําให้ ผ้าชนิดนี้มีราคาสูง
เสน่ห์ที่สําคัญคือการสร้างลวดลายที่มีความซับซ้อน เนื่องจากเป็นผ้าที่ใช้นุ่งตามขนบโบราณมีความยาวต่อเนื่องกันอย่างน้อย 3 เมตร ในแต่ละผืนมีการแบ่งช่วงลายไม่เหมือนกันตลอดทั้งผืน ช่างทอจึงต้องมีความชํานาญและมีความอุตสาหะในการเปลี่ยนลายไปตามช่วงต่างๆ ของผ้า
แต่เดิมเชื่อว่าผ้ายกทองนี้ราชสํานักไทยสั่งมาจากอินเดีย แต่เมื่อมีความสัมพันธ์กับหัวเมืองนครศรีธรรมราชซึ่งมีช่างฝีมือที่ได้รับการถ่ายทอดเทคนิคมาจากอินเดีย จึงมีการทอผ้ายกทองขึ้นใช้เองในประเทศ ทําให้มีลวดลายที่สะท้อนความเป็นไทยได้มากกว่าการสั่งซื้อจากอินเดีย รวมทั้งยังสามารถเปลี่ยนสีส่วนต่างๆ ของผ้าได้ตามความต้องการของช่างทอ
ต่อมาเมื่อสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงได้มีพระราชเสาวนีย์ให้รื้อฟื้นภูมิปัญญาผ้ายกทอง เพื่อใช้ในการทําเครื่องแต่งกายโขนพระราชทาน จึงมีการประยุกต์ใช้ กี่ขนาดใหญ่เข้ามาช่วยในการ ทอและเก็บลาย ทําให้ระยะเวลาในการทํางานสั้นลง แต่ก็ยังคงต้องใช้เวลากว่าครึ่งปีจึงจะทอสําเร็จหนึ่งผืน
ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดของการทอผ้ายกทองทั้งสองแบบคือการให้สีเนื้อผ้า ผ้าทอที่ทอจากที่ไม่สามารถเปลี่ยนสีพื้นของผ้าได้ จึงทําให้ส่วนใหญ่เป็นผ้าที่มีสีเดียวกันตลอดไปทั้งผืน ซึ่งเมื่อใช้งานจริงในงานโขนละครก็จะมีเครื่องประกอบอื่นๆ ทําให้มีสีสัน ด้วยเหตุนี้ในงานพระราชพิธีสําคัญของราชสํานักจึงยังคงเลือกใช้ผ้ายกทองที่ทอด้วยหูกแบบดั้งเดิมอยู่
น่าเสียดายว่าการทอผ้ายกทองแบบเดิมกําลังจะสูญสลายไป เพราะมีผู้ทอสืบภูมิปัญญาน้อยมาก เท่าที่ปรากฏในปัจจุบันมีศิลปินผู้ทอเหลืออยู่เพียง 3 คน จึงนับได้ว่าผ้าทอพุมเรียงเป็นสุดยอดของ ผ้าไทยทั้งในเชิงคุณค่าและเชิงมูลค่าของผ้าทอ
ขอบคุณที่มา