ชาวจังหวัดสุรินทร์เป็นกลุ่มคนไทยเชื้อสายเขมรและไทยอีสานซึ่งมีหมู่บ้านทอผ้าตามประเพณีสืบทอดต่อมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยทั่วไปชาวบ้านจะทอในสิ่งที่ตนเองถนัดและสนใจ บางคนทอเฉพาะส่วนเชิงหรือตีนซิ่น โดยชาวสุรินทร์เชื้อสายเขมรเชื่อว่าผ้าไหมเป็นสิ่งที่มีค่ามีราคาแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้ ดังนั้น ชาวสุรินทร์เชื้อสายเขมรจึงทอผ้าเพื่อไว้ใช้สอยเองและเก็บสะสมในหีบทึบ หรือบางครั้งผ้าไหมยังถูกใช้เป็นหลักทรัพย์ในการจำนำและเอาเงินไว้ใช้สอยได้อีกด้วย
ในปัจจุบันปริมาณการผลิตผ้าไหมของจังหวัดสุรินทร์มีจำนวนมากและหลากหลาย โดยการผลิตผ้าไหมสุรินทร์ถือเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือน ซึ่งหมู่บ้านหัตถกรรมผ้าไหมมีจำนวนมากถึง 800 หมู่บ้าน กระบวนการผลิตผ้าไหมตั้งแต่กระบวนการต้นน้ำ เริ่มตั้งแต่การปลูกหม่อนเลี้ยงไหม การสาวไหม กระบวนการกลางน้ำ เริ่มโดยการมัดหมี่ การย้อมสีไหม ซึ่งมีทั้งวิธีการย้อมด้วยสีธรรมชาติและสีเคมี การทอผ้าไหมด้วยมือ สุดท้ายกระบวนการปลายน้ำ คือการแปรรูปผลิตภัณฑ์ผ้าไหม การพัฒนารูปแบบบรรจุภัณฑ์ผลิตภัณฑ์ผ้าไหม การพัฒนารูปแบบลวดลายใหม่ ๆ แต่คงไว้ด้วยความเป็นอัตลักษณ์เฉพาะถิ่น เช่น ลายมัดหมี่ ลายรูปช้าง ลายดอกมะเขือ ลายลูกแก้ว และลายต่าง ๆ ที่สื่อแสดงถึงวิถีชีวิตของคนพื้นเมือง แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปบ้างตามความต้องการของตลาด ในการทอลายผ้าไหมของสุรินทร์แบ่งตามลักษณะการทอได้หลายประเภท ได้แก่
ภาพผ้าไหมลายโฮล
ภาพผ้าไหมลายอันปรม
ภาพผ้าไหมยกดอกพิกุล
1. มัดหมี่โฮล (จองโฮล) คำว่า “โฮล” เป็นคำในภาษาเขมรเป็นชื่อเรียกวิธีการผลิตผ้าไหม ที่สร้างลวดลายจากกระบวนการมัดย้อมเส้นไหมให้เกิดสีสันและลวดลายต่าง ๆ แล้วจึงนำมาทอเป็นผืนผ้า โดยผ้าโฮลมี 5 สี ได้แก่ สีดำ แดง เหลือง น้ำเงิน และเขียว ซึ่งจะเป็นการย้อมด้วยสีธรรมชาติ โดยเนื้อผ้าจะมี 2 สี ด้านหนึ่งจะเป็นสีอ่อน ส่วนอีกด้านจะเป็นสีเข้ม มัดหมี่แม่ลายโฮล ถือเป็นแม่ลายหลักของผ้ามัดหมี่สุรินทร์ที่มีกรรมวิธีการมัดย้อมด้วยวิธีเฉพาะ ไม่เหมือนที่ใดๆ ความโดดเด่นของการมัดย้อมแบบจองโฮล คือในการมัดย้อมแบบเดียวนี้ สามารถทอได้ 2 ลาย คือ โฮลผู้หญิง (โฮลแสร็ย) หรือผ้าโฮลธรรมดา และสามารถทอเป็นผ้าโฮลผู้ชาย (โฮลเปราะฮ์) ไว้นุ่งในงานพิธีต่าง ๆ
2. มัดหมี่อัมปรม (จองกรา) เป็นการมัดหมี่ทั้งเส้นพุ่งและเส้นยืนซึ่งมีการทำเฉพาะในจังหวัดสุรินทร์ เอกลักษณ์ของผ้าอัมปรม คือ ลวดลายที่ปรากฏเป็นลายตารางสี่เหลี่ยมจัตุรัสเล็ก ๆ ที่เกิดจากการมัดย้อมเส้นไหมทั้งเส้นพุ่งและเส้นยืน เมื่อนำมาทอเป็นผืนผ้าแล้ว ลายขีดสีขาวนี้จะลอยเด่นขึ้นมาจากสีพื้น ซึ่งเส้นยืนและเส้นพุ่งที่ตัดกันเป็นเครื่องหมายบวกหรือกากบาท นั้นจะเรียกว่า “ลายกราประ”
3. มัดหมี่จองซิน เป็นมัดหมี่ลายต่างๆ ที่เหมือนกันกับจังหวัดอื่น ๆ ทั่วไป แบ่งได้ดังนี้
มัดหมี่ลายกนก ได้แก่ ลายพุ่มข้าวบิณฑ์ ลายสับปะรด ลายพระตะบอง ลายก้านแย่ง ลายพนมเปญ ลายดอกมะเขือ
มัดหมี่ลายรูปสัตว์ ต้นไม้ และลายผสมอื่น ๆ ได้แก่ รูปนก ไก่ ผีเสื้อ ช้าง ม้า นกยูง ปลาหมึกพญานาค สามารถนำมาผสมกับลายต้นไม้ดอกไม้หรือทอลายสัตว์เดี่ยว ๆ ตลอดผืนก็ได้
มัดหมี่ลายธรรมดา ได้แก่ หมี่คั่น หมี่โคม ลายหมี่ข้อ
4. ผ้ายกดอกลายดอกพิกุล หรือ ปกาปกุน ผ้ายกดอกลายนี้จะย้อมเส้นด้ายยืนสีเดียว และอาจใช้สีอื่นคั่นระหว่างดอก การทอลายนี้จะทอทีละตะกอ (การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานสุรินทร์, 2560)
สีแดง ได้จากครั่ง
สีเหลือง ได้จากเข
สีฟ้า สีน้ำเงิน ได้จากคราม
สีเขียวหัวเป็ด ได้จากการย้อมให้ได้สีเหลืองแล้วย้อมทับด้วยคราม
สีดำ ได้จากมะเกลือ แล้วย้อมทับด้วยคราม
สีขาว ได้จากการนำเส้นไหมไปฟอกสี
สีม่วง ได้จากมะเกลือ แล้วย้อมทับด้วยคราม
สีเขียว ได้จากประโหด แล้วย้อมทับด้วยคราม
การแต่งกายผู้ชาย ตามแบบเดิมและแต่งกายเวลาประกอบพิธีกรรม คือ จะนุ่งผ้าโจงกระเบนไหมควบ เกิดจากการนำเส้นไหม 3 เส้น มาตีเกลียวควบกันเพื่อให้เกิดสีเหลือบ เรียกว่า “ผ้าควบ” หรือ “ผ้าไหมหางกระรอก” ชาวบ้านนิยมเรียกว่า “อันลูนกะนิว” นอกจากนี้ยังมีผ้าลายบำเพ็ญ เป็นผ้าโฮลเป๊ะ คล้ายผ้าปูมที่มีลายท้องผ้าเป็นลายใหญ่และมีเชิงในตัวเป็นลายแฉกแหลม ซึ่งผ้าแบบนี้จะใช้ในเวลาทำบุญโดยจะนำมาคลุมบายศรี ตรงบริเวณลายโจง หรือเรียกว่ายอดบายศรี และยังมีผ้าอื่น ๆ คือ ผ้าโสร่ง จะนุ่งอยู่บ้านและมีผ้าขาวม้า และผ้าไหมโฮล สำหรับการแต่งกายของผู้ชายที่เข้าพิธีบวช ขณะอยู่ในสภาวะเป็นนาค จะนุ่งผ้าโฮลแบบนุ่งซิ่นไม่นุ่งโจงกระเบน และถ้านุ่งผ้าโสร่งจะไม่มีการทำเชิงที่ขอบผ้า จะใช้ผ้าขาวม้าคาดเอวหรือพาดไหล่
การแต่งกายผู้หญิง ผู้หญิงจะนุ่งผ้าซิ่นทอด้วยไหมที่มีลวดลายต่าง ๆ เช่น ผ้าซิ่นโฮลหรือหมี่คั่นใช้เฉพาะผู้หญิงเท่านั้น เป็นผ้ามัดหมี่ที่เป็นลายทางยาวเล็ก ๆ เป็นการเลียนแบบลายน้ำไหล (โฮลแปลว่า น้ำไหล) โดยผ้าซิ่นจะมีการต่อเชิงหรือตีนซิ่นเพื่อให้ได้ความยาวที่พอเหมาะ นอกจากซิ่นแล้วผู้หญิงจะห่มผ้าสไบทอยกดอกลายลูกแก้วมีทั้งสีขาวและสีดำ
จังหวัดสุรินทร์มีประเพณีและวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมา ได้แก่ ประเพณีบวชนาคช้าง ประเพณีแซนโฎนตา กันตรึม งานประเพณีขึ้นเขาสวาย การกวนข้าวทิพย์ เคาะระฆังพันใบ การแต่งงาน หรือแซนการ์กะโน้ปติงตอง เรือมอันเร (การรำสาก) หรือ ลูดอันเรเรือมตรด เรือมอายัยโชง สะบ้า ลิเกเขมร มโหรี เจรียง เจรียงเบริน งานช้างและกาชาดสุรินทร์ โดยมีวัฒนธรรมการเลี้ยงช้างเสมือนเป็นสัตว์เลี้ยงภายในครอบครัว เป็นวัฒนธรรมการอยู่ร่วมกันของคนกับช้างซึ่งเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นไม่เหมือนที่ใดในโลก (สำนักงานจังหวัดสุรินทร์, 2561) กระบวนการผลิตผ้าไหมภายในชุมชนถูกเชื่อมโยงกับประเพณีความเชื่อและฤดูกาลเก็บเกี่ยว ดังนี้:
เดือน ประเพณี การใช้ผ้า การทอผ้า มกราคม (ยี) บุญข้าวเปลือก ผ้าสำหรับแต่งกาย หม่อนผลัดใบ (ลดการเลี้ยงไหม) กุมภาพันธ์ (สาม) เซ่นปู่ตาเปิดป่าดง ผ้าสำหรับแต่งกาย หม่อนผลัดใบ (ลดการเลี้ยงไหม) มีนาคม (สี่) งานบุญพะเวส พิธีแกมอ แกออ ผ้าสำหรับทำบุญพิธี ผ้าสำหรับพิธีกรรม หม่อนผลัดใบ (ลดการเลี้ยงไหม) เมษายน (ห้า) สงกรานต์/ผ้าป่า ผ้าสำหรับทำบุญพิธี หม่อนผลัดใบ (ลดการเลี้ยงไหม) พฤษภาคม (หก) พิธีแกมอ แกออ ผ้าสำหรับพิธีกรรม หม่อนผลิใบ (เลี้ยงไหมมากขึ้น) มิถุนายน (เจ็ด) เซ่นปู่ตาเปิดไร่นา ผ้าสำหรับแต่งกาย เลี้ยงไหม/ทอผ้า กรกฎาคม (แปด) เข้าพรรษา ช่วงเทขายผ้า เลี้ยงไหม/ทอผ้า กันยายน (สิบ) แซนโฎณตา ผ้าสำหรับพิธีกรรม เลี้ยงไหม/ทอผ้า ตุลาคม (สิบเอ็ด) ออกพรรษา ผ้าพิธีงานแต่ง เลี้ยงไหม/ทอผ้า พฤศจิกายน (สิบสอง) บุญกฐิน ผ้าพิธีงานแต่ง เลี้ยงไหม/ทอผ้า ธันวาคม (อ้าย) ฤดูกาลเก็บเกี่ยวข้าวนาปี ที่มา: เมธ์วดี พยัฆประโคน และคณะ (2559)