เป็นผ้าทอพื้นเมืองที่ถือเป็นผ้าเอกลักษณ์ของนครศรีธรรมราช ซึ่งแสดงถึงวิถีชีวิตด้านการ นุ่งห่ม โดยนาเอาศิลปะการทอมาเป็นปัจจัยสําคัญในการผลิต สะท้อนถึงภูมิปัญญาการคิดค้นวัตถุดิบ ที่เป็นเส้นใย เส้นไหม เส้นทอง เส้นฝ้าย และเส้นใยสังเคราะห์ จัดเป็นผ้าที่มีความงามทางศิลปะการประดิษฐ์ถักทอ สืบทอดกันมาหลายชั่วคน ควบคู่กับการออกแบบลวดลายที่งดงามไปตามยุคสมัย จนคนทั่วไปกล่าวติดปากว่า ถ้า จะซื้อหาผ้าทอสวยๆ จะต้องเลือก ผ้ายกเมืองนคร
สันนิษฐานว่าชาวนครรู้จักวิธีทอผ้ามาตั้งแต่ครั้งยังเป็นอาณาจักรตามพรลิงค์ เนื่องจากเป็นเมืองท่าหรือ สถานีการค้าที่สําคัญในคาบสมุทรไทย-มลายู เป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนสินค้า จากจีน อินเดีย และอาหรับ โดยเฉพาะผ้าจากจีนและอินเดียซึ่งเป็นแพรพรรณที่นามาขายในคาบสมุทรไทย ส่งผลให้เกิดการเผยแพร่ถ่ายทอด ความรู้วิธีการทอและประดิษฐ์ลายผ้า ทำให้ชาวนครรู้จักการทอผ้า ทั้งผ้าพื้นเรียบ และผ้ายกดอก ดังปรากฏ หลักฐานจดหมายเหตุจีนฉบับหนึ่งซึ่งมีใจความว่า ผู้คนในอาณาจักรตามพรลิงค์ เวลาจัดงานแต่งงานก็มักสวมใส่ผ้าทอยกดอก
ช่วงเวลาที่ผ้ายกเมืองนครมีชื่อเสียงมากที่สุดเห็นจะเป็นในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เพราะฝีมือช่างและ ลวดลาย ได้รับการสนับสนุนจากเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ผู้เป็นเจ้าเมือง ทั้งนี้โดยได้นาช่างทอผ้าจาก เมืองไทรบุรี (รัฐเคดาห์ ประเทศมาเลเซีย) เข้ามาเป็นครูสอนทอผ้าตั้งแต่ พ.ศ. 2354 ปีนั้นเจ้าพระยา นครศรีธรรมราช (น้อย) ได้ยกกองทัพไปปราบหัวเมืองไทรซึ่งเป็นกบฏ ขากลับจากการปราบปรามได้กวาดต้อน ครอบครัวเชลยมายังเมืองนครศรีธรรมราชเป็นจานวนมาก ในจานวนนี้เป็นช่างหลายอาชีพ เช่น ช่างปั้น ช่างหล่อ โลหะ ช่างทอง ช่างเงินเครื่องประดับ และช่างทอผ้า เฉพาะช่างทอผ้าได้จัดสรรที่ดินให้อยู่ในตําบลมะม่วงสองต้น ชาวเมืองไทรที่เป็นช่างทอผ้านี่เองที่กลายเป็นครูสอนให้ชาวนครรู้จักทอผ้ายกสืบมา จนกระทั่งสามารถทอเองได้ อย่างสวยงาม ฝีมือของช่างทอผ้ายกเมืองนครสมัยนั้น เป็นที่ยอมรับอย่างมากจากราชสานัก จนกระทั่ง พระมหากษัตริย์ได้ทรงใช้ผ้ายกนี้พระราชทานให้แก่ราชอาคันตุกะ เจ้านาย และข้าราชบริพารใช้สวมใส่ เป็นสิ่ง แสดงสถานะของบุคคล และด้วยเหตุที่เป็นผ้าทอคุณภาพดีมีความงดงาม จึงเป็นที่นิยมแพร่หลายในหมู่เจ้านาย ขุน นางและคหบดี มีหลายครั้งที่ราชสานักมีหมายให้เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชทอผ้ายกส่งไปยังกรุงเทพฯอยู่บ่อยๆ บางครั้งได้พระราชทานทองคา เส้นไหม เส้นทอง และพระราชทรัพย์มาเป็นค่าแรงในการทอหรือและจัดซื้อไหมดิบ จากจีน เพื่อใช้เป็นพระภูษาทรง รวมทั้งพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชบริพารผู้ประกอบคุณงาม ความดีในราชการ ดังหลักฐานจดหมายเหตุรัชกาลที่ 2ที่กล่าวว่าใน จ.ศ.1175 เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ให้ขุนสวัสดิ์คุมผ้ายกทองเกณฑ์เข้ามาส่ง เป็นลายพื้นแดง 1 ผืน ลายเจ็ดสีพื้นม่วง 1 ผืน แล้วให้เบิกทอง สองหีบใหญ่หนักหาบหนึ่งส่งไปให้เจ้าพระยานครใช้ทอผ้ายกอีกชื่อเสียงด้านความงามของผ้ายกเมืองนครในอดีต อาจเห็นได้จากเมื่อครั้งราชสานักไทยสมัยรัชกาลที่ 4 เจริญสัมพันธไมตรีกับนานาอารยประเทศ พระองค์มักจะทรงนำเอาผ้ายกนครซึ่งมีลวดลายอันโดดเด่นเป็นสื่อใน การเชื่อมสัมพันธไมตรี พระราชทานเป็นบรรณาการแก่ประมุขของประเทศต่างๆ ดังเช่นพระบาทสมเด็จพระจอม เกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานผ้ายกจำนวนถึง 17 ชิ้น แก่แฟรงคลิน ปิแอร์ (Frankin Pierce) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เป็นของขวัญอันทรงคุณค่ายิ่งจากราชสานัก ในจานวนนี้เป็นผ้ายก เมืองนครสายเกล็ดพิมเสน ซึ่งมีความสวยงามเป็นพิเศษ ทอด้วยเส้นทองรวมอยู่ด้วย
ครั้งที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดชเสด็จตรวจราชการหัวเมืองปักษ์ใต้ใน พ.ศ. 2427 ได้รับ รายงานที่เกี่ยวข้องกับผ้ายกเมืองนครว่า “ผ้านุ่งห่ม ผ้ายกไหม ผ้ายกทองไม่มีขายในตลาด เป็นของทอเฉพาะผู้สั่ง จะซื้อและเป็นผู้ทำในบ้านผู้ว่าราชการเมือง กรมการผู้ใหญ่ ราคาสิ่งของในท้องตลาด ผ้าม่วงราคาผืนละ5-6 เหรียญ ผ้าริ้ว ผ้าตา ผ้าพื้น ผืนละ 5 ก้อน หรือ 5 ตําลึง ผ้าขาวม้าไหมผืนละ 7 เหรียญ ผ้าขาวม้าด้วยกุลละ 40บาท ผ้าเช็ดปาก ผ้าขาวกุลีละ 4 บาท ผ้าโสร่งไหมผืนละ 4-5-6 เหรียญ ผ้าโสร่งด้วยผืนละ1 บาท ปัจจุบันผ้ายกเมืองนครมีอยู่ 2ลักษณะ คือ
1. ผ้ายก เป็นผ้าที่ทอลวดลายบนเนื้อผ้าโดยเพิ่มเส้นพุ่งพิเศษ (Supplementary Weft) จนเกิดเป็น ลวดลายยกนูนขึ้นบนเนื้อผ้า วิธีการทอจะคัดเส้นยืนขึ้นลงเป็นจังหวะตามลวดลายที่ต้องการ แล้วใช้เส้นพุ่งพิเศษ สอดเข้าไป หากใช้เส้นไหมมาทอเรียกว่า “ด้วยกไหม” ถ้าใช้เส้นเงินหรือเส้นทองมาทอเรียกว่า “ผ้ายกเงิน และ “ผ้ายกทอง” และเพื่อเพิ่มความสวยงามของลวดลายมากขึ้นอีก ก็นิยมทาลวดลายเชิงผ้าเป็นกรวยเชิงชั้นเดียว หรือกรวยเชิงซ้อนกันหลายชั้น เป็นกรวยเชิงขนานกับริมผ้า โดยดัดแปลงสายอื่นมาเป็นลายกรวยเชิง
2. ผ้าทอยกดอก เป็นผ้าที่ทอยกดอกโดยใช้กรรมวิธีทอให้เกิดลวดลายด้วยการยกตะกอ แยกเส้นด้ายยืน ขึ้นเป็นลวดลายเฉพาะ ไม่ได้เพิ่มเส้นด้ายยืนหรือเส้นด้ายพุ่งพิเศษเข้าไป ลักษณะการทอที่ใช้ตะกอร่วม ให้สามารถ ทอได้ทั้งลายขัดและลายยกดอกสลับกันไปในเนื้อผ้า การยกและข่มเส้นยืนในแนวหน้าผ้าที่แตกต่างกัน แล้วสอด เส้นพุ่งเข้าไประหว่างกลางเส้นยืน พุ่งข้ามแยกจากโครงสร้างของผ้าลายขัด ทาให้เกิดเป็นลวดลายนูนขึ้นบนผืนผ้าสังเกตได้จากลายยกดอกจะแทรกอยู่ในเนื้อผ้าลายขัด เกิดเป็นผ้ายกดอกที่มีลายขัดอยู่ในตัว ทำให้เนื้อผ้ามีความ แข็งแรงทนทานต่อการใช้สวมใส่ ปัจจุบันกลุ่มทอผ้าพื้นบ้านในจังหวัดนครศรีธรรมราช ส่วนใหญ่ทอผ้ายกดอกด้วย กี่กระตุก ซึ่งทอได้เร็วและทำให้ผ้ามีราคาถูก ส่งผลให้ผู้บริโภคทั่วไปสามารถซื้อไปใช้ได้ง่ายขึ้น
ขอบคุณแหล่งที่มา