การทอผ้าซิ่นตีนจกเป็นการสืบทอดทางวัฒนธรรมประเพณีต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นในหมู่สตรี ซึ่งมันถือว่าเป็นคุณสมบัติของสตรีที่ต้องหัดทอผ้าให้เป็นก่อนอายุ 16 ปี โดยจะเริ่มหัดทอด้วยผ้าตีนจก ซึ่งเป็นการทอที่มีกรรมวิธียุ่งยากที่สุด โดยหญิงสาวทุกคนจะต้องมีผ้าซิ่นตีนจกประจําตัวของตนเองเพราะผ้าซิ่นตีนจกเป็นผ้าสําคัญที่ใช้นุ่งในพิธีต่างๆ ไม่ว่าจะงานบุญ งานแต่ง หรืองานศพ ผ้าซิ่นตีนจกโดยปกติแล้วจะแบ่งส่วนของผ้าออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนหัว (ส่วนบน) ส่วนตัว (ส่วนกลาง) และส่วนตีน (ส่วนล่างหรือตีนซิ่น) ผ้าซิ่นตีนจกจะใช้วิธีจกในการต่อเชิง (ส่วนล่าง) ให้มีลวดลายพิเศษ ซึ่งแตกต่างกับผ้าซิ่นที่ใช้ในชีวิตประจําวันทั่วๆ ไป ส่วนลายหลักที่ใช้ทอจกก็เป็นการสืบต่อๆ กันมาและมีการพัฒนาลายขึ้นมาใหม่ก็ยังมีบ้าง
การทอผ้าจกเป็นการทอและปักผ้าไปพร้อมๆกัน “จก” คือการล้วงหรือการควักเส้นด้ายบนผ้าทําให้เกิดลวดลายต่างๆ และเป็นการทอลวดลายบนผืนผ้าด้วยการเพิ่มด้ายเส้นพุ่งพิเศษเข้าไปเป็นช่วงๆ ที่ไม่ติดต่อกันไปตลอดหน้ากว้างของผ้า การจกจะใช้ไม้หรือขนแม่นหรือนิ้วก้อยจก (ล้วง) เส้นฝ้ายจากด้านล่างขึ้นด้านบนบนเส้นยืนให้เกิดลวดลายตามที่ต้องการ
ผ้าซิ่นตีนจกนอกจากจะใช้เป็นเครื่องนุ่งห่มที่มีความสวยงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแล้ว ยังได้แอบแฝงข้อคิดไว้ในแม่ลายขนาดเล็กที่ปรากฏบนผ้าซิ่นตีนจกนั้นอีกด้วย ตัวอย่างเช่น
ลายนกคุ้ม คือการอยู่คุ้มตัวคุ้มเมีย เกิดความเป็นสิริมงคลต่อชีวิตคู่ การครองรักการครองเรือน
ลายนกหมู่ คือการแสดงถึงความเป็นหมู่เป็นพวก ไม่ขัดแย้ง รักสามัคคี
ลายนกคาบ คือการคาบดอกไม้ร่วมกันหรือกันน้ำร่วมกัน (กินน้ำร่มเต้า) ก็คือการให้สัจจะวาจาที่จะครองรักร่วมกับผู้ที่เป็นสามีตลอดไป
ลายนกแถว คือการมีระเบียบในสังคมวงศ์ญาติไปกันเป็นแถวเป็นแนว ทําให้สังคมเจริญรุ่งเรืองในทางเดียวกัน
การทอผ้าซิ่นตีนจกจะต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการที่ต้องนับเส้นด้ายแต่ละเส้นเพื่อให้เกิด ลวดลายตามที่ต้องการ ทําให้การทอผ้าตีนจกใช้เวลานานมากกว่าจะได้ผ้าสักหนึ่งผืน ทำให้การทอผ้าซิ่นตีนจกเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมไทยที่ควรได้รับการอนุรักษ์และสืบทอดต่อไป
วัสดุที่ใช้ในการทอผ้าตีนจกนั้นในสมัยก่อนจะใช้เส้นด้ายที่ผลิตขึ้นเองโดยการปลูกฝ้ายและนํามาทําเป็นเส้นด้ายด้วยเครื่องมือที่ทําเอง ซึ่งวิธีนี้จะค่อนข้างช้าและได้เส้นด้ายที่ไม่ค่อยสม่ำเสมอ ทำให้ในปัจจุบันมีความนิยมทอด้วยเส้นด้ายที่ผลิตจากโรงงานมากกว่า
1. คัดเลือกปุยฝ้ายและผึ่งให้แห้งสนิท จากนั้นหีบแยกเมล็ดกับปุยฝ้ายออกจากกัน
2. ทำการยิงฝ้าย โดยการทําฝ้ายให้พองตัวโดยใช้อุปกรณ์คือ กงฝ้าซึ่งมีลักษณะคล้ายคันธนู
3. ล้อมฝ้าย โดยใช้ไม้กลมๆ คล้ายตะเกียบ ม้วนฝ้ายเป็นม้วนกลมๆ
4. เข็นฝ้าย ต้องใช้ความชํานาญในการส่งด้ายเข้าหมุนเพื่อเส้นด้ายจะได้สม่ําเสมอ ไม่เป็นปุ่มจนกระทั่งได้ด้ายเป็นกลุ่มหลอดด้าย
5. เปียฝ้าย นําด้ายมาทําเป็นใจหรือเป็นเข็ด อุปกรณ์ที่ทําด้ายเป็นใจ เรียกเปียเมื่อเพียงพอแก่ความต้องการแล้วเรียกเข็ดหนึ่ง นํามาย้อมสีแล้วต้มในน้ำข้าวฝั่ง แดดให้แห้งนํามาทอโดยใช้เครื่องทอที่เรียกกันว่าหูก
6. การทอจะมีด้ายแนวยืนกับแนวขวาง
แนวยืน: ด้ายที่เป็นแนวยืนให้นํามาใส่ในกวักหรือกวักฝ้าย แล้ว “คัน” ซึ่งคือการนําด้ายมาเรียงยืนตามความกว้างยาวที่ต้องการ จากนั้นต่อด้ายเครือหูกให้ติดกับด้ายฟืมซึ่งมีลักษณะเป็นฟันซี่ๆ คล้ายหวีสําหรับสอดด้ายและไหม และใช้กระทบด้ายและไหมประสานกันเรียกว่า “สืบหูก” จากนั้นนําไปเข้ากี่หรือเครื่องสําหรับทอพร้อมที่จะทอแนวขวางต่อไป
แนวขวาง: นําด้ายมาพันไม้ก้อหลอดหรือกรอหลอดด้าย โดยอุปกรณ์กรอก็คือ “หลา” ซึ่งจะนําไปใส่ในกระสวยพุ่งขวางไป - มาตามฟืม
ผ้าซิ่นตีนจกมีลวดลายงดงามแปลกตาที่นับเป็นเอกลักษณ์ของชาวหาดเสี้ยวที่คิดค้นลวดลาย 9 ลาย เรียกว่า 9 หน่วย ซึ่งคือ
สำหรับท่านผู้สนใจ ต้องการเลือกซื้อผ้าไหมสำหรับตัดเย็บชุดหรู สามารถเข้าชมเลือกผ้าที่ร้านชอบไหม ผ่านช่องทางนี้ค่ะ www.chobmai.com ทางร้านของเราจำหน่ายผ้าไหมสีพื้น ผ้าไหมลายมัดหมี่ ผ้าไหมพื้นเมือง และผ้าไหมประจำชาติ ผ้าไหมประจำถิ่น มากมายหลากหลายเฉดสี หลายลาย พร้อมงานตัดคุณภาพปราณีตจากช่างผู้เชี่ยวชาญ
ร้านชอบไหมขอเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์วัฒนธรรมอันสวยงามนี้ให้คงไว้ ติดต่อทีมงานร้านชอบไหมเพื่อขอความช่วยเหลือในการเลือกซื้อสินค้าและคำปรึกษาเพิ่มเติมผ่านช่อง "LineOA : @chobmai" ได้ค่ะ ขอบคุณที่สนใจและเลือกซื้อสินค้าของเรา ทาง "ชอบไหม" ยินดีให้บริการค่ะ
ขอบคุณแหล่งที่มา:
กลุ่มส่งเสริมเครือข่ายสภาภูมิภาคและสภาแห่งประเทศไทย กองกิจการเครือข่ายทางวัฒนธรรม
ครูแก้ว รชตอ์ ณ สุโขทัย