ในทุกปีจะมีการกำหนดแนวโน้มของสีหรือเทรนด์สี เพื่อให้เหล่านักออกแบบ และเหล่านักสร้างสรรค์ที่ไม่ว่าจะเป็นวงการแฟชั่น วงการออกแบบตกแต่ง และผู้ที่สนใจได้นำไปเป็นแนวทางในการผลิตผลงาน เพื่อตอบโจทย์กับความนิยม สภาพแวดล้อม สภาพสังคมที่กำลังจะเกิดขึ้น เราจึงอยากเริ่มต้นด้วยการพาทุกท่านย้อนไปดูเบื้องหลังกระบวนการคาดการณ์เทรนด์สีที่เกิดขึ้นในแต่ละปี ว่าคนกลุ่มไหนหรือหน่วยงานใดที่อยู่เบื้องหลังการกำหนดเฉดสีที่มีอิทธิพลต่อคนทั้งวงการ
"สี" เป็นองค์ประกอบสำคัญของงานออกแบบ มีบทบาทอย่างมากโดยเฉพาะอุตสาหกรรมสิ่งทอ ไม่ว่าจะเป็นในเชิงประโยชน์ของการใช้สอย หรือว่าเชิงจิตวิทยาของสี อีกทั้งสียังถูกนำมาใช้ในการเพิ่มมูลค่าของงานออกแบบผ่านการเลือกใช้สี, การสร้างสรรค์กลุ่มสี, การจับคู่สี ทั้งยังถูกนำมาประยุกต์ใช้ในเชิงการตลาดอีกด้วย ย้อนกลับไปในอดีตสีถือเป็นส่วนหนึ่งของแรงขับเคลื่อนทางสังคม มีบทบาทสะท้อนสถานะ ชนชั้น เพศ วัฒนธรรม รสนิยม รวมไปถึงอัตลักษณ์ของผู้ใช้งานหรือผู้สวมใส่ ยกตัวอย่างเช่นสีดำ สีดำเป็นสีที่ย้อมธรรมชาติได้ยากที่สุด จึงไม่เป็นที่นิยมสวมใส่ในยุคแรกเริ่มของประวัติศาสตร์แฟชั่น อีกทั้งสีดำในอดีตยังมีความหมายถึงความสกปรกอีกด้วย ต่อมาในศตวรรษที่ 17 แม้ว่าเทคโนโลยีในการย้อมผ้าจะถูกพัฒนาขึ้นมามาก แต่สีดำก็ยังเป็นที่นิยมในเฉพาะกลุ่มชนชั้นสูงอยู่ดี และมีความหมายในเชิงอำนาจ ความหรูหรา เพราะว่าต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากกว่าจะย้อมสีดำได้สนิทในแต่ละครั้งได้ จึงเห็นได้ว่าสีมีบทบาทสะท้อนชนชั้นทางสังคม แต่พอมองกลับมายังปัจจุบัน ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสีต่างๆ ได้อย่างอิสระด้วยวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้า สีดำจึงกลายเป็นสีที่จับต้องได้ สวมใส่ได้อย่างแพร่หลาย ดังนั้นสีดำในเชิงจิตวิทยาเลยมาควบคู่กับความคลาสสิค เหนือกาลเวลา จึงเห็นได้ว่าสีมีส่วนในการสะท้อนบริบททางสังคมและรสนิยมกลุ่มของผู้บริโภคในแต่ละช่วงเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่อช่วงเวลาเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเหมือนในปัจจุบัน การศึกษาเทรนด์สีจึงเข้ามามีบทบาทในการสรุปข้อสังเกตของผู้บริโภค การคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต รสนิยมกลุ่ม หรือที่เรียกว่า Collective Taste
การที่จะวิเคราะห์ Collective Taste ระดับสากล จะมีการประชุมศึกษาเทรนด์สีนานาชาติที่เรียกว่า Intercolor ซึ่งเป็น Platform ในการระดมสมองแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างประเทศ เพื่อวิเคราะห์การขับเคลื่อนพัฒนาทิศทางของสีและวัสดุ รวมถึงเทรนด์ในการออกแบบของอนาคต องค์กร Intercolor มีผลต่อทิศทางการออกแบบของโลกมานานกว่า 50 ปีแล้ว เป็นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการใช้ข้อมูลเทรนด์ครอบคลุมถึงอุตสาหกรรมแฟชั่น สิ่งทอ เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์
ในปัจจุบัน Intercolor ตั้งอยู่ที่กรุงปารี ประเทศฝรั่งเศส มีสมาชิกทั้งหมด 17 ประเทศ ซึ่งมีประเทศไทยเราด้วย โดยผ่านการเป็นตัวแทน Thailand Institute of Fashion Research หรือ InFASH โดยสถาบัน InFASH จะมีภารกิจหลักในการวิจัยพัฒนาองค์ความรู้อุตสาหกรรมแฟชั่น ซึ่ง InFASH จะจัดทำแล้วนำเสนอผลงานวิจัยเทรนด์สีของประเทศไทยในเวทีการประชุม Intercolor
ภายหลังการประชุม Intercolor เสร็จทีมนักวิจัยก็จะดำเนินการวิจัยต่อยอดในรูปแบบของการตีความข้อมูลออกมาเป็นรายอุตสาหกรรม เช่น ชุดสุภาพบุรุษ ชุดสุภาพสตรี เครื่องประดับ และเครื่องสำอาง เพื่อเผยแพร่แล้วนำไปพัฒนากับภาคการศึกษาและภาคอุตสาหกรรม เป็นแนวทางเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้า เพื่อเป็นข้อมูลในการลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจและยังเป็นประโยชน์ต่อไปในเชิงเศรษฐกิจอีกด้วย
ขั้นตอนของการวิเคราะห์เทรนด์สีจะแบ่งเป็น 5 ขั้นตอนโดยมีดังนี้
ก่อนจะวิเคราะห์เทรนด์สีจะต้องศึกษาทิศทางของโลกก่อน หรือที่เรียกว่า Global Direction เพื่อดูว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางไหน จะต้องวิเคราะห์ตลาดโลก วิเคราะห์ประเด็นทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม สังคม สิ่งแวดล้อม แล้วมองภาพรวมว่าสังคมเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางอะไร แล้วพอได้ Global Direction ที่สนใจก็จะเป็นจุดเริ่มต้นแรงบันดาลใจ (Starting Point)
จุดนี้จะหาปัจจัยในการกำหนดเทรนด์หรือว่า Trend Driver จะต้องลองสำรวจความเปลี่ยนแปลงประมวลข้อมูลที่ได้มา ลองคิดไอเดียในรูปแบบต่างๆ อาจจะเริ่มจากปัญหาได้ เช่น สนใจเรื่องของปัญหาขยะที่ต่อเนื่องจากเรื่องของความยั่งยืน สิ่งแวดล้อม แล้วนำเรื่องของ Waste Management มาเป็น Starting Point
ในขั้นตอนนี้จะเป็นการรวบรวมสิ่งที่สามารถเป็นไปได้มาเป็นหลักฐานยืนยันความน่าเชื่อถือ ความถูกต้องของเทรนด์ เช่น สนใจเรื่องของ Waste Management ก็อาจจะค้นคว้าว่า Waste มีกี่ประเภท มีที่มาอย่างไร สามารถหยิบแง่มุมไหนมาแปลความในเชิงออกแบบได้บ้าง หรือว่ามีนักออกแบบท่านไหน หรือศิลปินท่านไหนที่ทำงานเกี่ยวข้องในหัวข้อนี้บ้าง ลองคัดกรองข้อมูล สืบหาแหล่งที่มาของข้อมูล จนเกิดเป็น Scenario หรือว่าภาพรวมขึ้นมา
ตรงนี้จะแปลงข้อมูลหรือสิ่งที่ค้นคว้ามาตีความเพื่อสื่อสารออกมาในเชิง Visual หรือว่าเชิงภาพ จะค้นคว้าข้อมูลสี ข้อมูลวัสดุ กำหนดแนวคิดหลัก อาจจะลองหารูปภาพมาใช้โดยที่อาจจะทำเป็นลักษณะ Mood Board หรืออาจจะตีความ Waste ออกมาเป็นสีเทรนด์ก็ได้ อย่างเช่นธีมขยะทะเล ธีมขยะอิเล็กทรอนิกส์ หรืออาจจะมองไปไกลถึงขยะอวกาศเลยก็ได้ จุดนี้ก็จะได้ Live Project ขึ้นมาแล้ว แล้วก็นำรูปภาพ นำวัสดุ มาลองสร้างชุดสีขึ้นมาใน Mood Board
ขั้นนี้จะต้องสำรวจแล้วก็วิเคราะห์ตลาดในแต่ละ Scope นั้นๆ หรือว่าใน Segment นั้นๆ ว่าในแต่ละท้องถิ่นหรือว่าอัตลักษณ์ของเทรนด์สามารถนำไปประยุกต์หรือสามารถผสมผสานกำหนดเป็นประเภทสินค้าได้หรือไม่ ต้องลองสร้างสวรรค์แล้วก็ประยุกต์เทรนด์ที่เราต้องการไปกับสินค้านั้น ยกตัวอย่างเช่น หากสนใจเรื่องการย้อมสีธรรมชาติ ก็อาจจะประยุกต์แค่ธีม Food Waste ออกมาใช้ โดยการที่ประยุกต์การสกัดสีจากผักผลไม้ที่เป็น Food Waste ออกมาเป็นธีมสีก็ได้
ตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 18 สีธรรมชาติได้ถูกใช้น้อยลงมามาก เนื่องจากมีการค้นพบสีเคมีหรือว่าสีสังเคราะห์ ทว่าสีย้อมธรรมชาติยังคงมีคุณค่าและยังถูกใช้ในปัจจุบัน เพราะปัจจุบันสังคมได้ให้คุณค่ากับความยั่งยืนโดยหันมาส่งเสริมระบบการผลิตแบบ Slow Fashion มากขึ้น ซึ่งต่างจาก Fast Fashion ที่มีสายพานการผลิตยาวผ่านการจ้างงานแบบ Subcontract ที่จับต้นชนปลายไม่เจอ กลับกัน Slow Fashion มีห่วงโซ่อุปทานที่สั้นกว่ามาก เพราะว่ามีการผลิตตั้งแต่ในชุมชนด้วยการปลูก ย้อม ทอ ตัดเย็บ นับเป็นโอกาสในการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตของผลิตภัณฑ์ให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่นผลิตภัณฑ์ JIMMY CHOO ที่ได้นำการย้อมครามมาผลิตรองเท้าและกระเป๋า โดยการร่วมมือกับแบรนด์ที่เชี่ยวชาญผลิตภัณฑ์ย้อมครามจากญี่ปุ่นที่ชื่อ BUAISOU
โดยสรุปแล้วเทรนด์สีก็เหมือนเป็นแนวทางสำหรับนักออกแบบ ให้นักออกแบบและผู้ประกอบการได้รับแรงบรรดาลใจ แล้วหยิบนำไปประยุกต์ใช้ออกแบบผลิตภัณฑ์หรือคอลเลกชันของตัวเอง สามารถต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ออกมา จนท้ายที่สุดก็จะหลอมรวมเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าขึ้นมาได้
สีธรรมชาติคือสีที่สกัดเนื้อสีจากพืชพันธุ์ธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นราก ลำต้น ดอก ใบ ผล เมล็ด เปลือก หรือจะเป็นแก่นไม้ของต้นไม้ นอกจากนั้นก็จะมาจากแร่ธาตุ หรือจากสัตว์อย่างเช่นคลั่ง (แมลงจำพวกเพลี้ย) สำหรับแร่ธาตุก็จะเป็นดินโคลน เพราะฉะนั้นแล้วสีธรรมชาติคือสีที่สกัดเนื้อสีที่ได้จากธรรมชาติ นอกจากนี้สารที่ช่วยทำให้ติดสีได้ดีขึ้นก็ยังมาจากธรรมชาติเช่นกัน ซึ่งสิ่งนี้ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนประกอบของการย้อมสีธรรมชาติที่ทำให้คุณภาพของการย้อมสีธรรมชาติแตกต่างไปตามสภาพแวดล้อม
สีย้อมธรรมชาติ สามารถแบ่งออกตามโทนสีได้ทั้งหมด 4 โทนสี
การจะได้โทนสีแต่ละสีนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะวัตถุดิบย้อมสีธรรมชาติ แต่ละโทนต่างก็มีแหล่งปลูกและแหล่งพบเจอที่แตกต่างกันออกไป โดยขึ้นอยู่กับสภาพทางภูมิศาสตร์ของแต่ละพื้นที่ หากอย่างในบ้านเราอาจจะให้พูดถึงโทนสีธรรมชาติที่พอจะคุ้นเคยและเป็นที่ยอมรับกันในระดับสากล คงต้องยกให้ “คราม” ซึ่งเป็นวัตถุดิบย้อมที่ให้สีน้ำเงินสุดคลาสสิค ที่นิยมนำมาใช้เป็นวัตถุดิบย้อมสีธรรมชาติในวงการผ้าทอมากเป็นอันดับ 1
สำหรับท่านผู้สนใจต้องการเลือกซื้อผ้าไหมสำหรับตัดเย็บชุดหรู สามารถเข้าชมเลือกผ้าที่ร้านชอบไหม ผ่านช่องทางนี้ค่ะ chobmai.com ทางร้านของเราจำหน่ายผ้าไหมสีพื้น ผ้าไหมลายมัดหมี่ ผ้าไหมพื้นเมือง และผ้าไหมประจำชาติ ผ้าไหมประจำถิ่น มากมายหลากหลายเฉดสี หลายลาย พร้อมงานตัดคุณภาพปราณีตจากช่างผู้เชี่ยวชาญ
ร้านชอบไหมขอเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์วัฒนธรรมอันสวยงามนี้ให้คงไว้ ติดต่อทีมงานร้านชอบไหมเพื่อขอความช่วยเหลือในการเลือกซื้อสินค้าและคำปรึกษาเพิ่มเติมผ่านช่อง "LineOA : @chobmai" ได้ค่ะ ขอบคุณที่สนใจและเลือกซื้อสินค้าของเรา ทาง "ชอบไหม" ยินดีให้บริการค่ะ