ผ้าแพรวา หรือ ผ้าไหมแพรวาเป็นผ้าทอมืออันเป็น เอกลักษณ์ของชาวผู้ไทยหรือภูไท การทอผ้าแพรวามีมาพร้อมกับ วัฒนธรรมของชาวภูไท ซึ่งเป็นชนกลุ่มหนึ่งมีถิ่นกำเนิดในบริเวณ แคว้นสิบสองจุไทย (ดินแดนส่วนเหนือของลาว และ เวียดนาม ซึ่ง ติดต่อกับดินแดนภาคใต้ของจีน) อพยพเคลื่อนย้ายผ่านเวียดนาม ลาว แล้วข้ามฝั่งแม่น้ำโขงเข้ามาตั้งหลักแหล่งอยู่แถบเทือกเขาภู พานทางภาคอีสานของไทย ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดกาฬสินธุ์ นครพนม มุกดาหาร สกลนคร โดยยังคงรักษาวัฒนธรรมประเพณี ความเชื่อ การแต่งกาย และการทอผ้าไหมที่มีภูมิปัญญาในการทอ ด้วยการเก็บลายจากการเก็บขิดและการจกที่มีลวดลายโดดเด่นที่ มีภูมิปัญญาที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษและพัฒนามา อย่างต่อเนื่อง ผ้าแพรวาจึงเปรียบเสมือนเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่ม ชนที่สืบเชื้อสายมาจาก กลุ่มภูไท
ผ้าแพรวามีความหมายรวมกันว่า ผ้าทอเป็นผืนที่มี ขนาดความยาว 1 วา หรือ 1 ช่วงแขน ใช้สำหรับคลุมไหล่หรือห่ม สไบเฉียงที่เรียกว่าผ้าเบี่ยง ซึ่งใช้ในโอกาสที่มีงานเทศกาลบุญ ประเพณีหรืองานสำคัญอื่นๆ โดยประเพณีทางวัฒนธรรมของ หญิงสาวชาวภูไทจะต้องยึดถือปฏิบัติคือ จะต้องตัดเย็บผ้าทอ 3 อย่างคือ เสื้อดำ ตำแพร (หมายถึงการทอผ้าแพรวา) ซิ่นไหมผ้าแพรวานิยมทอด้วยไหมทั้งผืน มีสีสันวดลายหลากหลาย นับเป็นผ้าไทยอีกรูปแบบหนึ่งที่ได้นับความนิยมสูง ผ้าแพรวาได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมจากโครงการ ศูนย์ศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เมื่อครั้ง เสด็จเยี่ยมพสกนิกรชาวอำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ เมื่อปี พ.ศ. 2520ได้ทอดพระเนตรเห็นชาวภูไท บ้านโพน แต่งตัวโดยใช้ผ้าแพรวาห่มตาม แบบสไบเฉียง หรือเรียกว่า ผ้าเบี่ยง ทรงสนพระทัยมากจึงโปรดให้มีการ สนับสนุน และได้มีพระราชดำริให้ขยายหน้าผ้าให้กว้างขึ้น อีกทั้งพัฒนา ลวดลายและสีสันให้มีความหลากหลาย จากเดิมที่มีเฉพาะสีแดงเข้ม ทำให้ สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้กว้างขวางขึ้น
ลวดลายผ้าแพรวานับเป็นมรดกของครอบครัว โดยในแต่ละครัวเรือนจะมี “ผ้าแส่ว” ซึ่งเป็นผ้าไหมส่วนใหญ่ทอพื้นสีขาว ขนาด ประมาณ 25 x 30 เซนติเมตร มีลวดลายต่าง ๆ เป็นต้นแบบลายดั้งเดิมที่ สืบต่อมาจากบรรพบุรุษ ทอไว้บนในผืนผ้า บนผ้าแส่วผืนหนึ่งๆมีอาจ ลวดลายมากถึงประมาณกว่าร้อยลาย การทอผ้าจะดูลวดลายจากต้นแบบ ในผ้าแส่ว โดยจะจัดวางลายใดตรงส่วนไหนหรือให้สีใดขึ้นอยู่กับความ ต้องการของผู้ทอ เกิดเป็นเอกลักษณ์ของผ้าแพรวาจากการวางองค์ประกอบ ของลวดลายต้นแบบและการให้สีสันของผู้ทอ
ลวดลายของแพรวามีลักษณะคล้ายคลึงกับลายขิดอีสาน แตกต่างกัน อยู่บ้างที่ความหลากหลายของสีสันในแต่ละลวดลาย แต่มีลักษณะรวมกัน คือลายหลักมักเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานของ ลายผ้า ส่วนสีสันบนผ้าแพรวาแต่เดิมนิยมพื้นสีแดงคล้ำย้อมด้วยครั่ง มีลาย จกสีเหลือง สีดำ สีขาว และสีเขียวเข้มกระจายทั้งผืนผ้าสอดสลับในแต่ ละลาย แต่ละแถว ลวดลายที่ปรากฏบนผ้าทอแพรวาที่ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของผ้า ประเภทนี้ จะประกอบด้วยตัวลายทั้งหมด 3 ส่วน ดังนี้
1. ลายหลัก คือ ลายที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งปรากฏอยู่ในพื้นที่ ส่วนใหญ่ของลายผ้าในแนวนอน ลายหลักแต่ละลายมีความกว้างของลาย สม่ำเสมอกัน คือกว้างประมาณแถวละ 8-12 เซนติเมตร ในแพรวาผืน หนึ่งๆ จะมีลายหลักประมาณ 13 แถว ลายหลักต่างๆ เช่น ลายนาคสี่แขน ลายพันธุ์มหา ลายดอกสา ฯลฯ ส่วนประกอบสำคัญของลายหลัก คือ ลายนอก ลายใน และ ลายเครือ ลายนอก คือส่วนที่มีลักษณะเป็นตารางสามเหลี่ยม ประกอบ สองข้างของลายใน มีลวดลายครึ่งหนึ่งของลายในตลอดความกว้างของผืนผ้า ลายใน คือส่วนที่อยู่ตรงกลางของแถวหลัก มีลวดลายเต็มรูป อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยม ขนมเปียกปูนตลอดความกว้างของผืนผ้าเช่นกัน ลายเครือ คือส่วนที่อยู่ในกรอบแถวบนของกรอบสี่เหลี่ยมขนม เปียกปูนในแต่ละแนว มีกึ่งกลางของลายหลักเป็นส่วนยอดของลายเครือ
2. ลายคั่น หรือลายแถบ คือ ลายที่มีขนาดเล็ก อยู่ในแนวขวางผืนผ้า ความกว้างของลายประมาณ 4-6 เซนติเมตร ทำหน้าที่เป็นตัวแบ่งลายใหญ่ออกเป็นช่วง สลับกันไป เช่น ลายตาไก่ ลายงูลอย ลายขาเข ฯลฯ
3. ลายช่อปลายเชิง หรือลายเชิงผ้า คือลายที่ ปรากฏอยู่ตรงช่วงปลายของผ้าทั้งสองข้าง ทอติดกับลาย คั่น ทำหน้าที่เป็นตัวเริ่มและตัวจบของลายผ้า มีความ กว้างประมาณ 4-10 เซนติเมตร เช่น ลายช่อขันหมาก ลายดอกบัวน้อย ลายใบบุ่นน้อย ฯลฯ
ผ้าแพรวา เป็นผ้าทอจากเส้นไหม ที่มีลักษณะลวดลายผสมกัน ระหว่างลายขิดและจกบนผืนผ้า ในระบวนการจกซึ่งคือกรรมวิธียกเส้นด้ายยืน แล้วสอดด้ายสีซึ่งเป็นเส้นพุ่งพิเศษเข้าไปในผืนผ้า ทำให้เกิด ลวดลายผ้าที่ต้องการนั้น การทอแพรวาแบบภูไทแท้นั้นจะไม่ใช้อุปกรณ์อื่น ช่วย ไม่ว่าจะเป็นเข็ม ไม้ หรือขนเม่น แต่จะใช้นิ้วก้อยจกยกเส้นด้ายยืน และสอดด้ายสีซึ่งเป็นเส้นพุ่งพิเศษแล้วผูกเก็บปมเส้นด้ายด้านบน โดย ลวดลายจะอยู่ด้านล่างในขณะทอ ส่วนกรรมวิธีการขิดจะใช้วิธีเก็บลายขิดโดยใช้ไม้เก็บขิด คัดเก็บ ขิดยกลายโดยต้องนับจำนวนเส้นไหมแล้วใช้ไม้ลายขิดสานเป็นลายเก็บไว้ ในการทอเก็บลายจะแบ่งเป็นช่วง แต่ละช่วงเก็บลายไม่เหมือนกัน ส่วนที่อยู่ตรงปลายต่อกับผ้าเรียบเป็นการเก็บขิดดอกเล็ก ส่วนต่อไปเป็นการเก็บ ขิดดอกใหญ่ เรียกว่า “ดอกลายผ้า” ใช้ไม้ในการเก็บลายต่างกัน จุดเด่นและความเป็นเอกลักษณ์ของผ้าแพรวาคือลวดลายสีสัน และความมีระเบียบ ความเรียบ ความเงางามของผืนผ้า ในผ้าแพรวาผืน หนึ่งจะมีอยู่ประมาณ 10 หรือ 12 ลาย ใช้เส้นไหมในการทอตั้งแต่ 2-9 สี สอดสลับในแต่ละลายแต่ละแถว ลวดลายที่ปรากฏจะประณีตเรียบเนียน เป็นเนื้อเดียวกันตลอดทั้งผืนผ้า
ลักษณะลายผ้าของแพรวาที่ทอในปัจจุบัน แบ่งเป็น 3 ประเภท ใหญ่ๆ ได้แก่ ผ้าแพรวาล่วง ผ้าแพรวาจก และผ้าแพรวาเกาะ ผ้าแพรวาล่าง หมายถึง ผ้าแพรวาที่ทอโดยวิธีเก็บเก็บลายขิด ทำให้เกิดลวดลายโดยสีหนึ่งเป็นสีพื้นส่วนอีกสีเป็นลวดลายตลอดหน้าผ้า ผ้าแพรวาจก หมายถึง ผ้าแพรวาล่วงที่มีการเพิ่มความพิเศษโดย การจกเพิ่มดอกเข้าไปในลายบนผืนผ้า เพื่อแต้มสีสันให้สวยงามยิ่งขึ้นแต่สี จะไม่หลากหลายสดใสเหมือน แพรวาเกาะ ผ้าแพรวาเกาะ หมายถึง ผ้าแพรวาที่มีลวดลายและสีสันหลายสี เกาะเกี่ยวพันกันไปจากกรรมวิธีการจกและสอดสลับเส้นไหม ลวดลายที่ใช้ ทอส่วนใหญ่เป็นลายดอกใหญ่ซึ่งเป็นลายหลักของการทอผ้าแพรวา อาจจะ ทอไม่ให้ซ้ำลายกันเลยในแต่ละแนวก็ได้ แต่โบราณนิยมทอเพื่อนำไปใช้เป็นผ้าห่มตัว โดยห่มเฉียงบ่า หรือห่มเคียนอก และใช้ปูสำหรับกราบพระนิยมใช้คู่กับแพรมนทำเป็นรูป สี่เหลี่ยมจัตุรัสมีชายครุยทั้งสองด้านใช้สำหรับคลุมศีรษะหรือเป็น ผ้าเช็ดหน้า ปัจจุบันมีการทอเป็นผ้าผืนหน้ากว้างสำหรับ ตัดเป็นเสื้อผ้าสวมใส่
สำหรับท่านผู้สนใจ ต้องการเลือกซื้อผ้าไหมสำหรับตัดเย็บชุดหรู สามารถเข้าชมเลือกผ้าที่ร้านชอบไหม ผ่านช่องทางนี้ค่ะ www.chobmai.com ทางร้านของเราจำหน่ายผ้าไหมสีพื้น ผ้าไหมลายมัดหมี่ ผ้าไหมพื้นเมือง และผ้าไหมประจำชาติ ผ้าไหมประจำถิ่น มากมายหลากหลายเฉดสี หลายลาย พร้อมงานตัดคุณภาพปราณีตจากช่างผู้เชี่ยวชาญ
ร้านชอบไหมขอเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์วัฒนธรรมอันสวยงามนี้ให้คงไว้ ติดต่อทีมงานร้านชอบไหมเพื่อขอความช่วยเหลือในการเลือกซื้อสินค้าและคำปรึกษาเพิ่มเติมผ่านช่อง "LineOA : @chobmai" ได้ค่ะ ขอบคุณที่สนใจและเลือกซื้อสินค้าของเรา ทาง "ชอบไหม" ยินดีให้บริการค่ะ