ผ้าโฮล เป็นผ้าที่อยู่ในประเภทมัดหมี่จัดเป็นผ้าที่นิยมนำมาใช้ในพิธีการ การทอผ้าโฮลนิยมใช้ไหมน้อย เนื้อผ้าจะบางเบา เนื้อแน่นเนียน อ่อนนุ่ม ลวดลายสีสันเป็นแบบฉบับของชาวสุรินทร์ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมศิลปะของเขมร ผ้าโฮลจึงถือเป็นแม่ลายหลักของชาวสุรินทร์ มัดหมี่เพียงหนึ่งลาย แต่สามารถทอได้หลายแบบ สามารถแบ่งแยกตามลักษณะของการทอผ้าโฮลได้ถึง 4 แบบ ด้วยกันได้แก่ ผ้าโฮลเปราะห์ ผ้าโฮลแสร๊ย ผ้าโฮลเกียรติ ผ้าโฮลปะนะ
การมัดผ้าโฮลเป็นการมัดเป็นปล้องๆ นิยมใช้หมี่ 21 ลำ เป็นหลัก มัดเส้นใยไหมให้เป็นไปตามแบบแผน จะใช้ฟางต่างสีเป็นตัวกำหนดการให้สี ซึ่งจะทำทีละขั้นตอน
โดยเมื่อนำหมี่ที่กำหนดลวดลายเรียบร้อยแล้วมาย้อมใน น้ำสีแดง หมี่ที่ไม่ได้มัดจะกลายเป็นสีแดง เมื่อย้อมจนได้สีที่ต้องการจะต้องนำมาล้างในน้ำให้สะอาดตากให้แห้งสนิท
ส่วนของลายละเอียดที่ต้องการอย่างเช่น สีแดงจุดเล็กๆ ที่เป็นลวดลายของใบไห่นั้นจะต้องโอบหมี่เอาไว้ด้วยเชือกฟางประมาณ 0.5 เซนติเมตร
หลังจากแกะเชือกฟางที่ต้องการย้อมให้เป็นสีน้ำเงินออกให้หมดตามแบบของลวดลาย นำลงย้อมในหม้อครามสีน้ำเงินจะทับสีแดงเข้มที่ย้อมไว้ในครั้งที่สองจะกลายเป็นสีเม็ดมะขามแก่เกือบดำ ส่วนจุดเล็กของลายใบไผ่ที่ย้อมสีเหลืองเอาไว้จะกลายเป็นสีเขียว การเกิดสีอื่นได้เป็นการผสมผสานของสีที่ได้ย้อมไว้ก่อนนี้กับสีที่ย้อมครั้งล่าสุดนั่นเอง การย้อมสีด้วยกรรมวิธีเหล่านี้จะต้องมีความชำนาญอย่างมาก เมื่อมัดย้อมหมี่เสร็จแล้วจะแกะฟางออกให้หมดนำหมี่ลงแช่ในน้ำที่ละลายสารเอาไว้ตัวสารส้มจะเป็นสารที่ช่วยติดสีที่เรียกว่า “มอร์แดนท์” สีที่ย้อมเอาไว้จะเปลี่ยนเป็นสีคล้ำลงเล็กน้อย ซึ่งเกิดจากปฏฺกิระยาทางเคมีนั่นเอง
หลังจากเตรียมใยไหมมัดย้อมสีเป็นที่เรียบร้อยแล้วจะต้องนำเส้นใยมากรอให้เป็นหลอดเล็กๆ เป็นลูกหมี่จะต้องร้อยเก็บเอาไว้ให้เป็นพวง เพราะลูกหมี่เหล่านี้มีลวดลายอยู่ในส่วนต่าง ๆ ของเส้นใย จะต้องนำมาทอให้เป็นเนื้อผ้าที่เกิดจากการสานขัดด้วยการยกตะกอโดยส่วนมากแล้วนิยมทอผ้าหมี่โฮลให้เป็นผ้า 3 ตะกอ ที่ทอแบบ2 ตะกอก็มี เนื้อจะบางกว่าแบบ3 ซึ่งสังเกตดูได้ไม่ยาก หากหน้าผ้าและหลังผ้าลวดลายสีสันเหมือนกันเป็นการทอแบบ2ตะกอ หากหลังผ้ามีสีคล้ำกว่าหน้าผ้าก็เป็นการทอแบบ3ตะกอ
ผ้าอัมปรม หรือที่เรียกกันว่า “ผ้าจองกรา” การทอผ้าแบบนี้มีเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย ผ้าอัมปรมเป็นผ้าทอพื้นเมืองที่มีลวดลายเป็นตารางสี่เหลี่ยมที่เกิดจากการมัดหมี่ประปราย เป็นจุดขาวๆ กระจายไปทั่วและมัดย้อม2ทางทั้งเส้นยืนและเส้นพุ่งบนพื้นสีแดง ตามแบบฉบับของชาวกูย เป็นการใช้ด้ายหมี่ทั้งเส้นยืนและเส้นพุ่ง เวลาทอต้องใช้ความระมัดระวังมาก เพราะลวดลายอาจจะไม่อยู่ในตำแหน่งที่ต้องการ
ผ้าสมอ ลวดลายที่ปรากฎจะเป็นลวดลายตารางสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก ๆ เป็นผ้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันของชาวกูย จุดเด่นจะเน้นสีที่ได้จากเข การใช้สีย้อมผ้าของชาวกูยนั้นจะเน้นไปทางสีธรรมชาติ โดยเฉพาะกลุ่มผ้าลายโบราณ (ไม่ร่วมผ้ามัดหมี่) ส่วนวัตถุที่ให้สีย้อมจากธรรมชาติจะให้สีที่แตกต่างกัน เช่น จากต้นคราม จะให้สีน้ำเงิน เข จะให้สีเหลือง และครั่งจะให้สีแดง
ผ้าอันลูนซีม ลวดลายเกิดจากการนำเส้นใยไหมมาควบตีเกลียว เรียกว่า “ไหมควบ” เป็นการนำเส้นไหม 2 สี จำนวน 2-5 เส้น มาควบตีเกลียวให้เป็นเส้นเดียว นิยมใช้เส้นใยไหมน้อย เพราะเมื่อร่วมตัวกันจะเป็นไหมเส้นใหญ่ ผ้าอันลูนซีน เมื่อทอเสร็จแล้วผ้าจะมีความเหลือบของเส้นหมี่ เมื่อหมี่เรียงขัดสานตัวจะเห็นลวดลายบนพื้นผ้าเป็นลายตรง ใช้สีในการทอเพียง 4 สี ได้แก่ สีเหลืองทอง เขียว แดง และ ขาว
ผ้าละเบิก จัดเป็นผ้ายกดอกอีกชนิดหนึ่งของชาวกูย ความซับซ้อนในการทอผ้าชนิดนี้อยู่ที่การใช้ตะกอ แรกเห็นจะรู้สึกว่าผ้าระเบิกลวดลายจะลอยตัว เพราะสีสันที่ใช้ในเนื้อผ้าเป็นตัวที่สร้างความรู้สึกลึกๆ เพราะจะต้องจัดเรียงเส้นยืนให้เป็นไปตามแบบที่ได้กำหนดเอาไว้โดยต้องสลับสีให้ถูกต้องตามหลักการของการทอละเบิก สีสันผ้าระเบิกที่เป็นของดั้งเดิมจะมีสีขาวแซมอยู่ด้วย
ผ้าสาคู หากไม่สังเกตจะคิดว่าเป็นผ้าอัมปรม เพราะลวดลายใกล้เคียงเหมือนกันมาก เพียงแต่ลายสาคูจะมีขนาดใหญ่กว่าประมาณครึ่งนิ้ว
ขอบคุณแหล่งที่มา: สำนักงานจังหวัดสุรินทร์ ศาลากลางจังหวัดสุรินทร์
สำหรับท่านผู้สนใจ ต้องการเลือกซื้อผ้าไหมสำหรับตัดเย็บชุดหรู สามารถเข้าชมเลือกผ้าที่ร้านชอบไหม ผ่านช่องทางนี้ค่ะ www.chobmai.com ทางร้านของเราจำหน่ายผ้าไหมสีพื้น ผ้าไหมลายมัดหมี่ ผ้าไหมพื้นเมือง และผ้าไหมประจำชาติ ผ้าไหมประจำถิ่น มากมายหลากหลายเฉดสี หลายลาย พร้อมงานตัดคุณภาพปราณีตจากช่างผู้เชี่ยวชาญ
ร้านชอบไหมขอเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์วัฒนธรรมอันสวยงามนี้ให้คงไว้ ติดต่อทีมงานร้านชอบไหมเพื่อขอความช่วยเหลือในการเลือกซื้อสินค้าและคำปรึกษาเพิ่มเติมผ่านช่อง "LineOA : @chobmai" ได้ค่ะ ขอบคุณที่สนใจและเลือกซื้อสินค้าของเรา ทาง "ชอบไหม" ยินดีให้บริการค่ะ