พระวินัยอนุญาตให้พระภิกษุย้อมสีจีวร ด้วยรากไม้ ลำต้นไม้ เปลือกไม้ ใบไม้ ดอกไม้และผลไม้ แต่พระพุทธเจ้าทรงห้ามใช้สีเขียวล้วนเหลืองล้วน สีเลื่อม สีดำ สีแดงเข้ม และสีแดงกลาย ทุกวันนี้ผ้าจีวรที่มีจำหน่ายตามร้านสังฆภัณฑ์มีสีต่างกันระหว่าง ๕-๑๐ สี ไล่จากสีส้ม น้ำตาลไปจนถึงน้ำตาลอมม่วง ตามแนวทางของแต่ละวัดหรือแต่ละสำนัก ที่มักเลือกใช้ตามอย่างครูบาอาจารย์เพื่อให้ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนกันทั้งวัดแบ่งได้เป็นสีกลุ่มใหญ่ๆ คือสีแก่นขนุนหรือสีกรัก (พจนานุกรมอธิบายว่า กรักแปลว่าแก่นขนุน สีกรักคือสีที่ได้จากการย้อมแก่นของต้นขนุน) สีน้ำตาลอมเหลือง เดิมนิยมใช้ในวัดธรรมยุติกนิกายทั่วไป
แต่ในปี ๒๕๕๗ มีคำสั่งของคณะธรรมยุตให้พระสงฆ์ธรรมยุติกนิกายทั้งหมดเปลี่ยนไปครองผ้าจีวรสีพระราชนิยมเพื่อ "ฉลองพระราชศรัทธา" ซึ่งปัจจุบันวัตธรรมยุตส่วนมากเปลี่ยนไปครองจีวรสีพระราชนิยมแล้ว ยกเว้นกลุ่มวัดในสายกรรมฐานหรือ "พระป่า" ที่ยังจะยึดในแนวทางของครูบาอาจารย์ คือครองผ้าสีแก่นขนุนหรือสีกรักต่อไปสีแก่นขนุนเข้ม ภาษาตลาดเรียกว่า "แก่นบวร" นิยมใช้กันในหมู่พระป่า พระสายกรรมฐานทางภาคอีสานสีกรักแดงสีน้ำหมาก แดงเข้ม นิยมใช้กันในหมู่พระสงฆ์ภาคเหนือบางส่วนที่ได้รับแบบแผนจากสงฆ์พม่าสีเหลืองส้มใช้กันในวัดมหานิกายมีโทนแยกย่อยไปอีกสองถึงสามโทนเป็นอย่างน้อย เลือกใช้กันตามความนิยมในแต่ละวัดสีพระราชนิยม
ภาษาตลาดเรียกกันผิดๆ ว่า "สีพระราชทาน" เป็นสีส้มอมน้ำตาลเหมือนกับเป็นสีกึ่งกลางระหว่างสีเหลืองสัมกับสีแก่นขนุน เป็นสีที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงเลือกมาพระราชทานแก่คณะสงฆ์ ปัจจุบันพระสงฆ์ทั้งมหานิกายและธรรมยุตจะใช้ครองในงานพระราชพิธีบทความนี้อ้างอิงข้อมูลจาก นิตยสารสารคดี ฉบับกุมภาพันธ์ 443 ซึ่งได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และการปฏิบัติของพระสงฆ์ในประเทศไทยไว้อย่างละเอียด พร้อมทั้งเจาะลึกถึงเรื่องราวของเครื่องนุ่งห่ม เช่น อังสะ จีวร และธรรมเนียมปฏิบัติในอดีตจนถึงปัจจุบัน
ขอขอบคุณนิตยสารสารคดี ที่เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญในการเผยแพร่ความรู้เชิงวัฒนธรรมไทยให้เราได้ศึกษาและสืบสานต่อไป