พระวินัยอนุญาตให้ภิกษุแต่ละรูปมีบาตรได้เพียงใบเดียวโดยสามารถเลือกใช้บาตรได้สองชนิด คือ บาตรดินเผา หรือบาตรเหล็ก โดยห้ามมิให้ใช้บาตรที่ทำด้วยทองคำ เงิน ทองแดงทองเหลือง ดีบุก ไม้ แก้ว ฯลฯ แต่ในสมัยพุทธกาล พระภิกษุคงใช้บาตรดินเป็นหลัก จึงต้องทะนุถนอม ระวังไม่ให้ตกแตก จึงมีข้อห้ามวางบาตรบนเตียง ตั่ง บนร่ม บนพนัก บนตัก ไม่ให้แขวนบาตรหรือคว่ำบาตรบนพื้นแข็งๆ เมื่อล้างบาตรแล้ว ห้ามเก็บทั้งที่ยังเปียก แต่ให้เช็ดจนแห้งก่อนแล้วถึงนำไปผึ่งแดดและไม่ให้ผึ่งไว้นานเกินไป
ข้อมูลจากพระวินัยยังบ่งชี้ว่าในยุคพุทธกาล บาตรน่าจะมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก เพราะมีข้อห้ามใช้สิ่งอื่นแทนบาตร ไม่ว่าจะเป็นกะโหลกน้ำเต้า (ลูกน้ำเต้าแห้งที่เหลือแต่เปลือกนอก) หรือหัวกะโหลกผี ดังนั้นบาตรยุคนั้นคงใบเล็กขนาดถือได้ด้วยมือเดียว
ปัจจุบันบาตรที่มีจำหน่ายในท้องตลาดส่วนมากเป็น "บาตรปั๊ม" ซึ่งเป็นสเตนเลสขึ้นรูป แต่ก็ยังมีชุมชนบ้านช่าง ที่ผลิตบาตรเหล็กด้วยกรรมวิธีดั้งเดิมอยู่ที่บ้านบาตร ใกล้วัดสระเกศในกรุงเทพฯ เดิมพระสงฆ์มหานิกายทั่วไปจะใช้ "ถลกบาตร" หรือสายคล้องสะพายบาตร ส่วนพระสงฆ์ในธรรมยุติกนิกายออกบิณฑบาตโดยอุ้มบาตรด้วยมือสองข้าง (จึงมีเรื่องเล่าถึงการ ถูกกลั่นแกล้งด้วยการเอาข้าวต้มร้อนๆ ใส่บาตร) แต่ปัจจุบัน มิได้แบ่งแยกกันชัดเจนแล้ว พระสงฆ์มหานิกายที่ออกบิณฑบาตโดยอุ้มบาตรก็มี ขณะที่พระสงฆ์ธรรมยุติกนิกายที่เป็นสายพระป่า ซึ่งต้องเดินบิณฑบาตเป็นระยะไกล มักใช้ถลกบาตรเพื่อความสะดวก
บทความนี้อ้างอิงข้อมูลจาก นิตยสารสารคดี ฉบับกุมภาพันธ์ 443 ซึ่งได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และการปฏิบัติของพระสงฆ์ในประเทศไทยไว้อย่างละเอียด พร้อมทั้งเจาะลึกถึงเรื่องราวของเครื่องนุ่งห่ม เช่น อังสะ จีวร และธรรมเนียมปฏิบัติในอดีตจนถึงปัจจุบันขอขอบคุณนิตยสารสารคดี ที่เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญในการเผยแพร่ความรู้เชิงวัฒนธรรมไทยให้เราได้ศึกษาและสืบสานต่อไป