ผ้ารับประเคนเป็นเครื่องสังฆภัณฑ์ที่คุ้นตากันดีพระสงฆ์ใช้วางลงโดยจับชายผ้าอีกด้านหนึ่งไว้เพื่อ รับประเคนภัตตาหารและสิ่งของที่ญาติโยมสตรีนำมาถวาย โดยมากผ้ารับประเคนนิยมใช้ผ้าสีใกล้เคียงกับ จีวร เช่น สีเหลือง สีกรัก ขนาดกว้างยาวไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์แน่นอน แต่มักเป็นผ้ารูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เช่นกว้าง๗ นิ้ว ยาว ๑๙ นิ้ว
เหตุที่สงฆ์ไทยต้องใช้ผ้ารับประเคน น่าจะมาจากการตีความพระวินัยอย่างกวดขันเคร่งครัด ซึ่งที่จริงแล้วพระวินัยกำหนดแต่เพียงว่าห้ามภิกษุ "ผู้มีจิตกำหนัด" จับต้องกายหญิง การใช้ผ้ารับประเคนในการถวายสิ่งของแก่พระจึงเป็นไปเพียงเพื่อหลีกเลี่ยงโอกาสใดๆ ที่สงฆ์อาจสัมผัสมือสตรี
สันนิษฐานว่าผ้ารับประเคนอาจวิวัฒนาการมาจาก "ผ้ากราบ" ผ้าผืนใหญ่ที่พระสงฆ์ไทยโบราณใช้รองรับอวัยวะทั้งห้า คือ เข่าสองข้าง สองฝ่ามือ และหน้าผาก เวลากราบพระพุทธรูปหรือพระเถระผู้ใหญ่แบบ "เบญจางคประดิษฐ์"
ในอดีตผ้ากราบเคยเป็น "ของถวายพระ" ที่สำคัญอย่างหนึ่ง ในงานพระราชพิธีต่างๆ ของหลวงและวาระสำคัญของเจ้านาย จะมีการทำผ้ากราบ ปัก (หรือพิมพ์) ลวดลายและตัวอักษรระบุชื่องานถวายพระสงฆ์เป็น "ของที่ระลึก"ในภาพถ่ายรุ่นเก่า พระเถระมักนำผ้ากราบมาพับพาดบ่าซ้ายในลักษณะเดียวกับสังฆาฏิ แต่ต่อมาเมื่อมีพระมหาสมณวินิจฉัยของสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส กำหนดให้พระสงฆ์ทั้งมหานิกายและธรรมยุติกนิกายเลิกใช้ผ้ากราบพาดบ่าพระสงฆ์จึงพับผ้ากราบเก็บใส่ย่าม ธรรมเนียมพาด ผ้ากราบจึงสูญไป หากยังคงหลงเหลือให้เห็นในคณะสงฆ์กัมพูชาจนถึงปัจจุบัน
ผ้ากราบนี้เองคงคลี่คลายต่อมาเป็น "ผ้ารับประเคน" ซึ่งมีขนาดเล็กลงกว่าผ้ากราบมาบทความนี้อ้างอิงข้อมูลจาก นิตยสารสารคดี ฉบับกุมภาพันธ์ 443 ซึ่งได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และการปฏิบัติของพระสงฆ์ในประเทศไทยไว้อย่างละเอียด พร้อมทั้งเจาะลึกถึงเรื่องราวของเครื่องนุ่งห่ม เช่น อังสะ จีวร และธรรมเนียมปฏิบัติในอดีตจนถึงปัจจุบัน
ขอขอบคุณนิตยสารสารคดี ที่เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญในการเผยแพร่ความรู้เชิงวัฒนธรรมไทยให้เราได้ศึกษาและสืบสานต่อไป