ผ้าทอ เกิดจากการขัดสานกันของเส้นด้ายในทิศตั้งฉากซึ่งกันและกัน ปฎิสัมพันธ์ระหว่างพื้นผิวของเส้นด้ายยืนและเส้นด้ายพุ่งรวมกับโครงสร้างการทอทำให้เกิดตัวเนื้อผ้า ลวดลาย ไปพร้อมๆ กันในเวลาเดียวกัน
คือ การขึงเส้นยืนในแนวนอน แบ่งเป็น 2 แบบ คือ กี่ตั้งพื้นที่ใช้กันอยู่ทั่วไป และ กี่เอว (Backtrap Loom) มีใช้กันบ้างในกลุ่มชาติพันธ์ุคนบนพื้นที่สูง
โครงกี่: ทำจากไม้เนื้อแข็งหรือไม้ไผ่เป็นโครงสร้างสำหรับยึดติดส่วนประกอบต่างๆ สำหรับการทอ
ตะกอหรือ "เขา" : ทำด้วยเชือกไนลอน มีลักษณะเป็นเส้นมีช่องตรงกลางเรียงต่อกันในแผงตะกอ โดยด้ายยืนในแต่ละเส้นจะถูกรอยผ่านตะกอ 1 เส้นต่อ 1 ตะกอ เส้นยืนในแผงตะกอเดียวกันจะถูกแยกยกขึ้นพร้อมกันเพื่อเปิดช่องระหว่างเส้นยืนที่ถูกยกขึ้นและที่ไม่ได้ถูกยกให้ด้ายพุ่งเข้าไปขัดสาน ในการทอผ้าจะต้องมีจำนวนแผงตะกอตั้งแต่ 2 แผงขึ้นไป โดยจำนวนแผงตะกอเป็นตัวกำหนดขนาดและความซับซ้อนของโครงสร้างลายทอ ยิ่งมีจำนวนมากเช่น กี่ที่มี 8 แผงตะกอ จะสามารถทอลายที่มีโครงสร้างการทอลายขนาดใหญ่มีความซับซ้อนมากกว่า 4 แผงตะกอได้
เท้าเหยียบ: ในกรณีของกี่ตั้งพื้น แผงตะกอแต่ละแผงจะผูกติดอยู่กับเท้าเหยียบ เมื่อเหยียบเท้าเหยียบลงแผงตะกอที่ผูกติดอยู่จะถูกดึงให้ยกขึ้น เพื่อแยกยกด้ายยืนที่อยู่ในแผงตะกอนั้นขึ้น ให้สามารถสอดเส้นพุ่งเข้าไปขัดสานได้ ตามปกติจำนวนเท้าเหยียบจะเท่ากับจำนวนแผงตะกอ คือ ผูกจับคู่ 1 เท้าเหยียบกับ 1 แผงตะกอ แต่ในกรณีที่ต้องการทอลายเดียวกันตลอดความยาวผ้า เพื่อความสะดวกในการเหยียบยกตะกอ จึงมีการผูกโยงเท้าเหยียบ 1 เท้าเหยียบกับแผงตะกอมากกว่า 1 แผง ตามจังหวะการขัดสานในแต่ละแนวเส้นพุ่ง ดังนั้นจำนวนเท้าเหยียบจะเท่ากับจำนวนแนวเส้นพุ่งใน 1 รีพีท (Repeat) ลาย ซึ่งอาจจะมากว่าหรือน้อยกว่าจำนวนแผงตะกอก็ได้
ฟันหวีหรือฟืม: ทำจากโลหะหรือซี่ไม้ไผ่เรียงต่อกันอย่างสม่ำเสมอ สำหรับสอดด้ายยืนผ่านช่องละ 1 เส้นหรือมากกว่า 1 เส้น นอกจากจะมีหน้าที่ในการเรียงลำดับเส้นยืนจากริมผ้าด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่งแล้ว ช่องห่างระหว่างซีกฟืมหรือความถี่ของช่องฟันหวี ยังเป็นตัวกำหนดความหน่าแน่นของด้ายยืน ซึ่งมีผลโดยตรงต่อความละเอียดของเนื้อผ้า รวมทั้งยังเป็นตัวกำหนดขนาดหน้ากว้างผ้าด้วย
กระสวย: เป็นอุปกรณ์ที่แยกออกจากกี่ ใช้เก็บเส้นพุ่งและเก็บเส้นพุ่งเข้าไปขัดสานกับเส้นยืนที่ถูกแยกขึ้นและที่ไม่ได้ถูกยกให้เกิดการขัดสาน รูปทรงของกระสวยตรงกลางจะเป็นช่องสำหรับเก็บใส่หลอดด้ายพุ่ง 1-2 หลอด ส่วนปลายทั้ง 2 ข้างมีลักษณะเรียวสมมาตรกันเพื่อนำเส้นพุ่งไปและกลับ จากซ้ายไปขวา ขวามาซ้ายอย่างต่อเนื่อง วัสดุที่ใช้ทำกระสวย ได้แก่ ไม้เนื้อแข็ง ไม้เนื้ออ่อน รวมถึงการนำท่อพีวีซีมาตัดเป็นแพทเทิร์นประกอบขึ้นรูปกระสวยโดยใช้ความร้อนและกาว
ด้ายยืนความยาวหลายสิบเมตรแต่ละเส้นสืบเข้ากี่โดยการผูกต่อชุดใหม่และชุดเก่าเข้าด้วยกัน โดยด้ายยืนชุดใหม่จะถูกม้วนเก็บไว้ในแกนม้วนด้ายยืนที่ด้านหลังกี่ ด้ายยืนทุกเส้นจะถูกร้อยผ่านชุดตะกอและฟันหวีอย่างต่อเนื่อง ขึงตึง พร้อมที่จะทอ ผู้ทอจะทำการยกแผงตะกอตามโครงสร้างการทอที่กำหนดโดยเริ่มแนวเส้นพุ่งเส้นที่ 1 พุ่งกระสวยนำเส้นพุ่งเข้าไปขัดสานกับเส้นยืน เอาแผงตะกอที่ยกไว้ลง ตีกระทบฟันหวี ทอต่อในแนวเส้นพุ่งแนวถัดไปอย่างต่อเนื่อง จนได้ความยาวผ้าที่ต้องการ ผ้าที่ถูกทอแล้วจะถูกม้วนเก็บไว้ในแกนม้วนผ้าด้านหน้ากี่
การเตรียมการทอแบ่งได้เป็น 3 ส่วน ได้แก่
ส่วนแรก คือการเตรียมวัสดุในการทอ ซึ่งแบ่งเป็นการเตรียมเส้นด้ายพุ่งโดยการกรองเส้นด้ายเข้าหลอด แล้วนำเอาไปใส่กระสวยพร้อมที่จะเป็นด้ายพุ่ง
ส่วนที่สอง คือการเตรียมด้ายยืนจะต้องทำบนหลักค้นกี่ โดยที่จะต้องได้จำนวนเส้นด้ายยืนตลอดหน้ากว้างผ้าและความยาวผ้าที่ต้องการ
ส่วนที่สาม คือการสืบด้ายยืนเข้ากี่ โดยการนำเอาเครือเส้นยืนร้อยผ่านตะกอและฟันหวี ยึดปลาย 2 ข้างที่แกนม้วนด้ายยืนและแกนม้วนผ้า ขึงเส้นยืนทุกเส้นให้ตึงเท่ากันสม่ำเสมอ
การกำหนดโครงสร้างการทอ คือ จังหวะการขัดสานกันของด้ายยืนและด้ายพุ่ง ทำให้เกิดเนื้อผ้าและลวดลายในเวลาเดียวกัน ซึ่งจำนวนแผงตะกอเป็นตัวกำหนดขนาดและความซับซ้อนของโครงสร้างลายทอ เรื่มตั้งแต่ 2 แผงตะกอขึ้นไป ยิ่งมีจำนวนแผงตะกอมากก็จะสามารถทอลวดลายที่มีขนาดใหญ่และมีความซับซ้อนสูง นอกจากนี้โครงสร้างการทอยังมีความสัมพันธ์กับแผนการร้อยตะกอและแผนการยกตะกอด้วย เนื่องจากเส้นยืนทุกเส้นที่อยู่ในแผงตะกอเดียวกันจะถูกยกขึ้นพร้อมกัน ดังนั้นการวางแผนการร้อยตะกอจึงสัมพันธ์กับการเหยียบเท้าเหยียบ เพื่อยกแผงตะกอขึ้นในตำแหน่งที่เส้นยืนทับกับเส้นพุ่ง ในแต่ละแนวเส้นพุ่งของโครงสร้างการทอ
(ส่วนล่างแสดงโครงสร้างการทอลายขัด ส่วนด้านบนแสดงแผนการร้อยตะกอ) เส้นยืนเส้นเล็กเลขคี่อยู่แผงตะกอที่ 1 เส้นเลขคู่อยู่ตะกอที่ 2
แผงการยกตะกอ แนวเส้นพุ่งเส้นเลขคี่ยกแผงตะกอที่ 1 แนวเส้นพุ่งเส้นเลขคู่ยกแผงตะกอที่ 2 ในส่วนบนจำลองการขัดสานของเส้นไหมยืนและพุ่งด้วยลายขัด 2 ตะกอ
- ตัวอย่างที่ 1 โครงสร้างการทอลายขัด ใช้ 2 ตะกอในการทอ ทอสลับเส้นยืนขึ้นทับเส้นพุ่ง 1 เส้น ลงลอดใต้เส้นพุ่ง 1 เส้นทั้งในแนวเส้นยืนและเส้นพุ่ง ด้านหน้าผ้าเหมือนกับด้านหลังผ้า
- ตัวอย่างที่ 2 ลายสองแบบขึ้น 3 ลง 1 เส้น ใช้ 4 ตะกอในการทอ ที่ด้านหน้าผ้าเส้นยืนขึ้นทับบนเส้นพุ่ง 3 เส้น ลงลอดใต้เส้นพุ่ง 1 เส้น ทำให้เห็นเป็นเส้นยืนสีฟ้ามากกว่าเส้นพุ่งสีส้ม โดยที่จุดขัดเรียงทแยงต่อกันไปทางขวา แต่ในทางกลับกันที่ด้านหลังผ้า เส้นยืนขึ้นทับบนเส้นพุ่ง 1 เส้น ลงลอดใต้เส้นพุ่ง 3 เส้น ทำให้เห็นเป็นเส้นพุ่งสีส้มมากกว่าเส้นยืนสีฟ้า โดยทีจุดขัดเรียงทแยงต่อกันไปทางซ้าย
ผ้ารูปร่างต่างๆเทคนิคการสร้างลวดลายให้เกิดรูปทรงที่ชัดเจนไม่ว่าจะเป็นรูปทรงเรขาคณิตหรือรูปทรงอิสระ ได้แก่
เทคนิคที่ 1 ยกดอก “ลวดลายมาพร้อมกับเนื้อผ้า”
ยกดอกเป็นการทำให้เกิดลวดลายและเนื้อผ้าไปพร้อมกันขณะทอโดยการใช้ได้ยืนและได้พุ่งชุดเดียวกัน พอสร้างลวดลายด้วยโครงสร้างการทอที่กำหนดการยกลายด้วยตะกอ 3 ถึง 8 ตะกอ เนื่องจากเป็นเทคนิคการทอขั้นพื้นฐานจึงมีการใช้กันอยู่ทั่วไป
เทคนิคที่ 2 เกาะ/ล้วง
“ระนาบสีบนลายขัด”เกาะ/ล้วงเป็นการทำให้เกิดลวดลายระหว่างการทอ โดยการสอดด้ายพุ่งหลากหลายสีติดต่อกันเป็นช่วงๆ ตลอดหน้ากว้างผ้า ขณะแยกยกตะกอเพื่อทอโครงสร้างลายขัดตรงตำแหน่งที่ได้พุ่งต่างสีมาเชื่อมต่อกัน ด้วยการคล้องเกี่ยวกันเองหรือพันรอบ หรือผูกเป็นห่วง รอบเส้นยืนตรงบริเวณขอบลวดลาย ชาวไทลื้อใช้เทคนิคการทอเกาะ/ล้วงในการสร้างลวดลายที่มีลักษณะเป็นระนาบเรขาคณิตหลากหลายสี อย่างเช่น ลายน้ำไหล หรือลายรูปเรขาคณิตที่ตีนซิ่น
เทคนิคที่ 3 การเสริมด้ายพุ่งพิเศษ (Welft Supplementary) “เสมือนเป็นลายปักบนพื้นผ้าลายขัด”
แบ่งเป็น 2 อย่างคือ การขิดและการจก การจกและการขิดต่างเป็นการสร้างลวดลายโดยการเพิ่มด้ายพุ่งพิเศษระหว่างการทอ ด้ายพุ่งพิเศษที่ใช้สร้างลวดลายพุ่งสลับกับด้ายพุ่งที่ใช้สร้างเนื้อผ้าด้วยโครงสร้างการทอลายขัด 2 ตะกอ ทีละ 1 แนวเส้นพุ่งสลับกันไป ลวดลายที่ได้เสมือนเป็นลายปักบนพื้นผ้าลายขัด ดังนั้นหากดึงด้ายพุ่งพิเศษออกบางเส้นจะส่งผลให้บางส่วนของลายหายไป แต่เนื้อผ้ายังคงขัดสานกันแบบขึ้น 1 เส้นลง 1 เส้นตามปกติของลายขัด ใช้สร้างลวดลายขนาดใหญ่จนถึงขนาดเล็กและมีรายละเอียดที่ซับซ้อน
- ขิด คือ การทำให้เกิดลวดลายโดยการเพิ่มด้ายพุ่งพิเศษตลอดหน้ากว้างผ้า โดยที่ลวดลายขิดจะถูกพับเก็บไว้บนไม้เก็บลายบนเครือเส้นยืนหรือในชุดตะกอลอย หรือในชุดตะกอแขวนตามตั้งที่บรรจุไม้ค้ำ หรือไม้เก็บลาย ซึ่งแต่ละไม้ทำหน้าที่ควบคุมการยกเส้นยืนตามลวดลายในแต่ละแนวเส้นพุ่ง หรืออีกนัยหนึ่งคือไม้เก็บลายเป็นตัวกำหนดจังหวะการขึ้น - ลงของเส้นยืนในแต่ละแนวเส้นพุ่ง เรียงลำดับจากแนวเส้นพุ่งเส้นที่ 1 จนถึงเส้นพุ่งเส้นสุดท้ายเป็นอันครบรีพีท (Repeat) ลาย พอต่อเนื่องรีพีทลายต่อรีพีทลายจนได้ความยาวผ้าที่ต้องการ ดังนั้นการทอขิดจึงประกอบด้วยตะกอ 2 ชุด คือ ตะกอลายขัด 2 ตะกอและชุดตะกอลายขิด ทอ 1 เส้นพุ่งลายขิดสลับกับ 1 เส้นพุ่งลายขัด ชาวไทยลาวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ใช้เทคนิคการขิดสร้างลวดลายบนผ้าเบี่ยง ผ้าสไบ ผ้าซิ่น และหมอนขิด
เทคนิคที่ 4 มัดหมี่ “การสร้างลวดลายบนเส้นด้ายด้วยสีย้อมก่อนนำมาทอ”
มัดหมี่ (Ikat) เป็นการทำให้เกิดลวดลายบนเส้นด้ายด้วยสีย้อมก่อนการทอ โดยการมัดเส้นด้ายด้วยเชือกกล้วยหรือเชือกพลาสติกตามลวดลาย สลับกับการย้อมสีพื้นที่ลายส่วนที่ถูกมัดเก็บปลายไว้จะไม่ติดสีย้อม ทำการมัดและย้อมสีทีละสีจนครบตามจำนวนสีที่ต้องการ สามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ มัดหมี่เส้นยืน มัดหมี่เส้นพุ่ง และมัดหมี่สองทางทั้งเส้นยืนและเส้นพุ่ง ลวดลายจากการมัดหมี่มีลักษณะเฉพาะคือ เส้นขอบลายไม่คมชัดเนื่องจากการเหลื่อมการของเส้นด้ายขณะทอ เห็นเป็นเส้นสายฝนโดยรอบระนาบสีแต่ละสี และการซึมซับผสมกันของสีบริเวณรอยต่อของลาย ช่วยทำให้โครงสีโดยรวมดูกลมกลืนขึ้น โครงสร้างการทอผ้ามัดหมี่ที่นิยมทอด้วยลายขัด ส่งผลให้ลวดลายปรากฏชัดเจนเท่ากันทั้งหน้าและหลังผ้า
ประวัติความเป็นมาของผ้าซิ่นตีนแม่แจ่ม ผ้าซิ่นตีนแม่แจ่มจะใช้สำคัญในงานบุญกับช่วงงานศพ ผู้หญิงแม่แจ่มทุกคนต้องมีผ้าซิ่นตีนจกเป็นของตัวเอง เพราะว่าผู้หญิงแม่แจ่มรุ่นก่อนๆ ไม่ได้เรียนหนังสือพอจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มาก็ต้องออกมาทอผ้าเหมือนกันทุกคน ถ้าคนไหนทอผ้าไม่เป็น เขาบอกว่าจะไม่ให้แต่งงาน ถ้าแต่งงานก็ต้องมีผ้าตีนจกไปรดน้ำดำหัวแม่สามีหนึ่งผืนกับตอนเสียชีวิตต้องมีหนึ่งผืน เพราะว่าผ้าซิ่นตีนจกของแม่แจ่มจะมีทั้งนก หงส์ สำเภา อยู่ในผืนเดียวกัน เวลาเสียชีวิตเขาก็ถึงบอกว่าถ้าคนไหน ไม่ได้ใส่ผ้าซิ่นตีนจก จะไม่ได้ไปถึงสวรรค์ เพราะฉะนั้น นก หงส์ จะพาขึ้นสำเภาไปไหว้พระบนสวรรค์
ด้านนอกและด้านในจะเหมือนกัน ใช้ได้ทั้งสองด้าน รวมทั้งหมดแล้วมีลายโบราณ 16 ลาย แต่ปัจจุบันคนรุ่นใหม่จะประยุกต์ขึ้นมาแบบลายง่ายๆ ซึ่งลายที่ยากที่สุดคือ ลายเชียงแสนหงส์ดำ และผ้าซิ่นตีนจกจะมีทั้งหมดอยู่ 3 ส่วน คือ ตีนซิ่น เอวซิ่น และตัวซิ่น
สำหรับผ้าเกาะล้วง จะเป็นผ้าที่มีความโดดเด่นในกลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อ ซึ่งกลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อเคยอาศัยอยู่ในสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน แต่ก่อนสมัยโบราณจะทอตกแต่งในผ้าซิ่นของสตรีชาวไทลื้อ อย่างเช่นผ้าผืนด้านล่าง จะมีลายริ้ว และมีลายเกาะล้วงเข้ามาแทรกในผ้าซิ่น สำหรับลายเกาะล้วง โบราณส่วนมากจะเป็นลวดลายที่มาตกแต่งในผ้าซิ่นจะเป็นเกาะล้วงน้ำไหล มีเกาะยอด มีเกาะบวก ที่คนเฒ่าคนแก่ได้เล่าถึงผ้าโบราณ ซึ่งจินตนาการลวดลายจากสิ่งที่มองเห็นรอบตัวมาทอลงบนผืนผ้า ปัจจุบันลวดลายจะปรับให้เข้ากับยุคสมัย กลุ่มคนที่ใช้ผืนผ้าในปัจจุบันก็อาจปรับจะให้ดูเป็นงานศิลปะมากขึ้นทำให้สามารถสวมใส่ได้ทุกเพศทุกวัย
สมัยโบราณสีของผ้าเกาะล้วงส่วนมากจะเป็นสีฉูดฉาด สดใส เพราะจะทำให้ผ้าดูไม่เก่า ดูใหม่อยู่ตลอดเวลา แต่ปัจจุบันก็อาจปรับมาเป็นสีธรรมชาติ เพราะสีธรรมชาติกำลังเป็นที่นิยม คนรุ่นใหม่จึงอาจใส่ใจกับสีธรรมชาติ อย่างเช่น สีของผืนด้านล่างที่ทำมาจากใบของต้นสมอ หากทางเหนือจะเรียกว่าใบมะ ส่วนสีส้มมาจากคำแสด มะกาย ซึ่งสีจะดูอ่อนลง ดูละมุนตาขึ้น
สำหรับการทอผ้าเกาะล้วง คือการจะไม่ใช้กระสวยในการพุ่ง ปกติการทอผ้าจะต้องใช้กระสวยเป็นตัวพุ่ง เพื่อเรียงให้เส้นด้านเป็นผืนผ้า แต่การทอผ้าเกาะล้วงจะเป็นการใช้มือควัก (ล้วง) เส้นด้ายขึ้นมา เส้นด้ายการต่อผ้าเกาะล้วงจะเป็นการทอผ้าเส้นพุ่งปกติ แต่จะสลับสีเป็นช่วงๆ ให้เกิดลวดลาย การทอจะควัก (ล้วง) เส้นด้ายขึ้นมา ซึ่งตอนควัก (ล้วง) ขึ้นมาอีกเส้นหนึ่งก็ต้องเกี่ยวสลับกันไปมา หากไม่เกาะหรือว่าไม่เกี่ยว ผ้าก็จะแยกกันไม่เป็นผืนจะเป็นหลุมเป็นรู จึงเรียกวิธีนี้ว่าเกาะ เกาะคือการเกี่ยว เกี่ยวคือการใช้มือล้วงควักเส้นใยขึ้นมา
ระยะเวลาในการทอผ้าเกาะล้วง หากเป็นผ้าแบบเก่าจะค่อนข้างใช้เวลานานพอสมควร เพราะว่าต้องมีความละเมียด ความประณีต และใช้เวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์หรือไม่ก็หนึ่งเดือน แต่ในปัจจุบันอาจใช้เวลาเพียงแค่ 3 - 5 หรือไม่ก็หนึ่งสัปดาห์
ผ้าขิดของสันป่าตองที่เห็นชัดและมีเยอะเก็บไว้จะเป็นของกลุ่มคนไทเขินของบ้านต้นแหนหลวงและต้นแหนน้อย หากว่าเป็นของต้นแหนที่นิยมก็จะมีลายช้าง ลายม้า ซึ่งที่จริงก็อาจเป็นคติความเชื่อที่เอาไปผูกกับพระพุทธศาสนา เพราะอย่างลายม้า ว่ากันว่าม้าที่อยู่บนผืนผ้าเป็นม้าท่เจ้าชายสิทธัตถะขี่ก่อนออกบวช และจะมีลายสิงห์ ลายนกหับ แล้วก็ลายสะเปา (เรือสำเภา) และอาจมีลายที่เป็นแท่นธรรมาสน์หรือปราสาท ซึ่งลายแบบนี้ที่จริงแล้วจะนิยมพาดบ่าในส่วนของผู้ชายมากกว่า แต่ที่จะมีนิยมอย่างหนึ่ง นั่นก็จะนิยมไปทำเป็นผ้าปูที่นอนหรือผ้าปูสลี และในลายผ้าปูที่นอน ผ้าปูสลี ที่นิยมใช้จะเรียกว่า ลายต๋าแหลวปิ้น ลักษณะลายต๋าแหลวปิ้นจะคล้ายๆ ไม้สาน เพราะว่าไม้สานจะมีลักษณะที่เหมือนกับว่าดักสิ่งที่ไม่ดีและจะพบเฉพาะในกลุ่มชนไทเขิน ไทลอง ไทลื้อ ในสกุลตระกูลไท
ในการทอจะใช้การวนหูก ปกติต้องดูก่อนว่าจะต้องการความกว้าง ความยาวเท่าไหร่ แล้วพอวนเสร็จ ก็จะใช้ไม้ที่เรียกว่าไม้เก็บลาย มาเก็บลายว่าจะยกกี่เส้น ข้ามกี่เส้น ซึ่งลายดีจะอยู่ด้านล่างแล้วก็จะเอาไม้เก็บลายมาเก็บ แล้วก็มีฝ้ายสอดเข้าไป ถักเข้าไปเป็นด้ายพิเศษเป็นสี ซึ่งขิดของทางเหนือที่จะนิยมใช้เป็นสีแดงกับสีดำ พอเปิดหน้ากี่ก่อนแล้วก็ไปเปิดหลังกี่อีกอันหนึ่ง จากนั้นก็จะใช้ไม้ก้านมะพร้าวสอดใส่เข้าไปเก็บลายไว้ แล้วก็จะเอาด้ายพิเศษมาพุ่งตลอดหน้าผ้าและเอาลง และจากนั้นก็จะพุ่งฝ้ายสีขาวมาอีกเส้นหนึ่ง ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนตามที่เราแกะลายเอาไว้
ผ้าไหมยกดอกลำพูนมีที่มาที่ไปมาจากในวัง ในตำนานย้อนหลังอดีตไปตั้งแต่สมัยเจ้าดารารัศมี ผ้ายกดอกลำพูนจะเป็นชนเผ่ายองประมาณ 70% ของพื้นที่จังหวัดลำพูน ซึ่งอพยพมาจากสิบสองปันนาและได้นำเอาภูมิปัญญาติดตัวมาด้วยทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ซึ่งผู้หญิงจะมีเทคนิคการทอผ้า ส่วนผู้ชายจะเป็นเทคนิคปูนปั้น ต่อมาสมัยเจ้าดารารัศมีได้นำเอาวัฒนธรรมจากในวังมาเพื่อมาต่อยอดการทอผ้าเพื่อเพิ่มเทคนิคการยก ซึ่งยกสมัยก่อนจะไม่ใช่ยกเต็มผืน แต่จะยก เป็นจุด เป็นจุด เพื่อจะคัดเลือกเอาช่างที่ทอผ้าไหมส่งไปในวัง
ก่อนจะออกแบบเป็นผ้ายก จะต้องจุดสมุดกราฟก่อนว่าลายจะมีกี่ไม้ พอได้แบบก็จะนำมาขึ้นบนเส้นยืน พอสอดเส้นยืนก็จะเก็บไม้ไว้ก่อนและเริ่มไม้ที่สองตามตารางขวางของสมุดกราฟ จากซ้ายไปขวาหรือขวาไปซ้ายก็ได้ และเอามาเรียงเก็บไว้จนครบจำนวนลวดลายที่ได้ออกแบบเอาไว้ ซึ่งอาจจะมีประมาณ 20 - 30 ไม้ จากนั้นก็มาล้วงเส้นฝ้ายอีกทีหนึ่งตามช่องที่กำหนด ต่อจากนั้นก็จะถึงกระบวนการทอ สำหรับช่างทอที่มายกมือข้างซ้ายของช่างทอจะยกไม้ตะกอดอกขึ้น เพื่อจะใช้ไม้หลาบตอกสอดเข้าไป พอสอดเสร็จก็จะกลายเป็นตามลวดลายที่ผูกไว้ ซึ่งไม้หลาบตัวนั้นจะมีหน้าที่กดเส้นที่ไม่ได้ผูกให้ลง แล้วก็กำหนดให้เส้นที่เราผูกไว้ให้ลอยขึ้น เพื่อจะให้เกิดช่องเอาเส้นไหมพุ่งผ่าน พอพุ่งผ่านเข้าไปเส้นพุ่งหรือเส้นยกจะเป็นการกำหนดที่ว่านูน ซึ่งนูนคือการนูนขึ้นมาตามลวดลายจากไม้ 1 ไม้ 2 ไม้ 3 ไปเรื่อยๆ สมมุติมี 20 ไม้ พอไปได้ 20 ไม้ก็จะมีได้แค่ครึ่งดอก และพอไปถึง 20 ก็จะกลับไปไม้ที่ 1 เรื่อยๆ อีก จนกว่าจะครบจำนวนผ้าที่วางไว้ว่าจะยาวกี่เมตร ซึ่งนี่คือเทคนิคการยก แต่ลำพูนจะทอยกด้านกลับ จะดูลวดลายต้องดูพื้น หรือไม่ก็เอากระจกส่องถึงจะเห็นลวดลาย ซึ่งลวดลายข้างบนจะเป็นลวดลายที่อยู่ด้านในผืนผ้า
ผ้าไหมยกดอกลำพูนจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว คือเป็นลักษณะการทอกับรูปแบบของผืนผ้า การทอผ้าไหมยกดอกของลำพูน ลวดลายพิเศษของผ้าจะเป็นเส้นนูนขึ้นมาอยู่บนเส้นยืนอย่างเห็นได้ชัด และส่วนด้านล่างที่เป็นรายละเอียดจะไม่ดึงขึ้นมาอยู่ในเส้นผืนผ้า เหมือนกับลายแจ็คการ์ดของอินเดียที่เป็นลักษณะเฉพาะตัว และส่วนผ้ายกดอกลำพูนที่เป็นลักษณะของผ้าถุง จะแบ่งผ้าถุงเป็นความกว้าง 40 นิ้วหรือ 1 เมตรและจะแบ่งเป็น 3 ส่วน โดยส่วนตัวจะมี 2 ส่วนและส่วนข้างล่างที่เป็นเชิงจะมี 1 ส่วน เรียกว่า 1 ใน 3 เป็นเอกลักษณ์ของลำพูนโดยเฉพาะ
ลายเอกลักษณ์ของดอกลำพูนที่จริงแล้วจะมีลายที่เป็นลายดอกไม้ หรือลายดอกพิกุลเล็กๆ เท่านั้น จะไม่ค่อยมีลายที่เป็นลายกรวยเชิง หรือลายทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ลายเหล่านี้ที่เอามาผสมผสานเป็นลายที่เอามาประยุกต์ใช้ โดยต่อเนื่องมาจากสมัยก่อน ที่คนทางเหนือเป็นคนชอบเข้าวัด ชอบทำบุญ บวกกับที่ทางวัดจะใช้ผ้าห่อพระธรรมด้วย คนทางเหนือที่ทอผ้าด้วยมือจึงไปทอเลียนแบบดอกพิกุลที่อยู่ในวัดเป็นรูปแบบของการทอผ้าเพื่อห่อพระธรรม ทำให้ดอกพิกุลกลายเป็นลายชั้นสูงที่ใช้สำหรับศาสนา แต่ในปัจจุบันได้มีการนำมาใช้กันอย่างทั่วไปแล้ว ซึ่งนี่จึงเป็นเอกลักษณ์ของลำพูนโดยแท้จริง
ความเป็นจะเป็นการใช้ภูมิปัญญาของคนเฒ่าคนแก่ที่สืบทอดมา ซึ่งลายนกนางแอ่นจะเป็นลายเอกลักษณ์ ในอดีตถ้าเป็นผ้าลายส่วนมากจะนำเป็นผ้านุ่งที่ใส่ธรรมดาไปดำนาหรือไปงานบุญ งานแต่ง แต่ในสำหรับสมัยปัจจุบันก็สามารถใช้ได้ทุกรูปแบบแล้ว เพราะในปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนลวดลาย ที่ท่านพระองค์หญิงฯ ได้คิดค้นซึ่งเป็นลายขอเจ้าฟ้า แล้วก็ยังได้สร้างดอนกอยโมเดลและเพิ่มสีเปลือกไม้เข้าไปในผืนผ้า
ขั้นแรก จะเป็นการนำเส้นฝ้ายมาพัดและพัดให้ได้เป็นหัวหมี่ จากนั้นก็นำไปมัดโดยที่จะเลือกใช้กี่เฉดสี ซึ่งจะมีอยู่ 3 เฉดสี (บางลายอาจมีแค่ 2)
ขั้นสอง นำเชือกฟางสีน้ำเงินหรือฟางสีเหลืองมามัดอีกรอบ
ขั้นสาม พอมัดเสร็จเรียบร้อยก็จะนำไปย้อมที่หม้อนิล จากนั้นก็ล้างทำความสะอาดผึ่งแดดให้แห้ง
ขั้นสี่ พอผ้าฝ้ายแห้งแล้วก็จะนำมาแกะเชือกฟางออก จากนั้นก็มากวักมาปั่นแล้วค่อยนำมาทอเป็นผืนผ้าหรือจัดจำหน่าย
หากรวมทุกขั้นตอนจะใช้เวลาประมาณ 10 วัน เพราะจะต้องใช้เวลาพัดและมัด จากนั้นก็นำไปย้อมล้างทำสะอาด และนำมากวักปั่นเป็นหลอด ซึ่งผ้าผืน 2 เมตร โดยรวมจะใช้เวลา 10 วันถึงจะได้ 1 ผืน
สำหรับท่านผู้สนใจ ต้องการเลือกซื้อผ้าไหมสำหรับตัดเย็บชุดหรู สามารถเข้าชมเลือกผ้าที่ร้านชอบไหม ผ่านช่องทางนี้ค่ะ www.chobmai.com ทางร้านของเราจำหน่ายผ้าไหมสีพื้น ผ้าไหมลายมัดหมี่ ผ้าไหมพื้นเมือง และผ้าไหมประจำชาติ ผ้าไหมประจำถิ่น มากมายหลากหลายเฉดสี หลายลาย พร้อมงานตัดคุณภาพปราณีตจากช่างผู้เชี่ยวชาญ
ร้านชอบไหมขอเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์วัฒนธรรมอันสวยงามนี้ให้คงไว้ ติดต่อทีมงานร้านชอบไหมเพื่อขอความช่วยเหลือในการเลือกซื้อสินค้าและคำปรึกษาเพิ่มเติมผ่านช่อง "LineOA : @chobmai" ได้ค่ะ ขอบคุณที่สนใจและเลือกซื้อสินค้าของเรา ทาง "ชอบไหม" ยินดีให้บริการค่ะ
ขอบคุณแหล่งที่มา: https://www.youtube.com/watch?v=ptGobDKBZZQ&list=PLWZhCdvwdU6f_Gbc9Z6Me7kxi_zCBs4CS&index=3