ลำพูน เดิมมีชื่อว่า นครหริภุญชัย เป็นจังหวัดที่เก่าแก่และมีกลุ่ม ชาติพันธุ์ที่หลากหลายที่สุดในภาคเหนือ อาทิ ยวน โยนก ไทใหญ่ ยางแดง เขิน ลื้อ ลั้วะ และ มอญ คนลำพูนมีการทอผ้าใช้เองมาแต่อดีต อันยาวนาน โดยเฉาะการทอผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ของชนชาวยอง (ไทลื้อที่ อพยพมาจากเมืองยองซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเมืองเชียงตุง ในประเทศพม่า) ในกลุ่มชนชั้นสูงที่ใช้วัตถุดิบเป็นเส้นไหมมากกว่าที่จะเป็นเส้นฝ้ายที่ใช้กัน ในชนชั้นล่างลงไป กาลเวลาล่วงเลยผ่านมานับร้อยปี การทอผ้าไหมและ ผ้าฝ้ายยังมีการประยุกต์ใช้กันอยู่แต่เป็นการทอเป็นลวดลายไม่วิจิตรนัก จวบจนกระทั่งพระราชชายาเจ้าดารารัศมีพระธิดาในพระเจ้า อินทรวิชยานนท์ ผู้ครองนครเชียงใหม่ พระราชชายาในพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 หลังจากที่พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต พระราชชายาเจ้าดารารัศมีได้ ทูลขอพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 เสด็จกลับชียงใหม่ ทรงนำความรู้จากราชสำนักส่วนกลางมาประยุกต์ใช้ในการ ประดิษฐ์ลวดลาย และได้ฝึกหัดคนในคุ้มเชียงใหม่ให้ทอผ้ายกโดยเพิ่ม ลวดลายลงในผืนผ้าไหมให้พิเศษขึ้น คือเพิ่มด้ายเส้นพุ่งพิเศษเป็น ดิ้นเงิน ดิ้นทองเพื่อนำไปถวายเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ในภาคกลางและทรงใช้ส่วน พระองค์ เนื่องด้วยทรงเป็นพระญาติกับเจ้าเมืองลำพูน จึงทรงถ่ายทอด ความรู้เรื่องการทอผ้ายกที่มีลวดลายสวยงามแปลกตาและวิจิตรบรรจงให้แก่ เจ้าหญิงส่วนบุญพระชายาของเจ้าจักรคำขจรศักดิ์เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์สุดท้าย และ เจ้าหญิงลำเจียกพระธิดา ทั้งสองพระองค์จึงได้นำความรู้ การทอผ้ายกมาฝึกคนในคุ้มหลวงลำพูน และมีการเผยแพร่ทั่วไปในชุมชน บริเวณใกล้เคียงจนมีความรู้เรื่องการทอผ้าไหมยกดอกเป็นอย่างดี ทรง ฟื้นฟูผ้าไหมยกดอกลำพูน โดยใช้เทคนิคภาคกลางมาประยุกต์และ ดัดแปลงให้ผ้าไหมมีความวิจิตรสวยงามยิ่งขึ้นโดยทอกันมากในตำบล เวียงยอง และบริเวณใกล้เคียงที่เป็นชุมชนของเจ้านายยองในอดีต ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ผ้ายกเป็นที่นิยม ในราชสำนักและแวดวงสังคมชั้นสูง เนื่องจากการคมนาคมสะดวกทั้งทาง รถไฟและทางรถยนต์จากรุงเทพฯ สู่เชียงใหม่และลำพูน ภาคเหนือจึง กลายเป็นแหล่งผ้าไหมที่ลือชื่อ ผ้ายกที่ทอด้วยฝีมือประณีตจากลำพูนเป็น ที่ต้องการทั่วไป ไม่เฉพาะแต่ในราชสำนัก ในปัจจุบันการทอผ้าไหมยกดอกลำพูนเป็นมรดกทางหัตถกรรมที่ ถ่ายทอดสู่รุ่นลูกรุ่นหลานและมีการขยายแหล่งทอผ้าไปยัง อ.ลี้ อ.ทุ่งหัวช้าง จึงทำให้จังหวัดลำพูนเป็นศูนย์กลางการทอผ้าไหมยกดอกแหล่งสำคัญของ ประเทศไทย
ผ้ายก หมายถึง ผ้าไหมที่ทอยกลวดลายให้นูนสูงขึ้นกว่าผืนผ้า โดยเพิ่มด้ายเส้นพุ่งพิเศษเป็นดิ้นเงิน ดิ้นทอง คำว่า “ยก” มาจากลักษณะการทอเส้นไหมที่เชิดขึ้นเรียกว่า “ยก” และเส้นไหมที่จมลงเรียก “ข่ม” โดยยก บางเส้นและข่มบางเส้น แล้วพุ่งกระสวยไปในระหว่างกลางด้วยเพื่อให้เกิดลวดลาย ซึ่งแยกกับการทอโครงสร้างผ้าที่เป็นการทอลายขัด เทคนิคในการ ทอยกให้เกิดลวดลายนี้เรียกว่า เทคนิคการยกดอก ทำให้ผ้ายกดอกมี ลักษณะเด่น คือ บนผืนผ้าจะมีลวดลายในตัว โดยผิวสัมผัส ของผ้ายกดอก จะมีความนูนของผืนผ้าตามลวดลายที่ทอยกผ้าไหมยกดอกลำพูนนับเป็นศิลปะการทอผ้าที่มี ลวดลายงดงามมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง มีรูปแบบ ลวดลายที่อ่อนช้อยงดงามของธรรมชาติ เป็นเรื่องราว ของดอกไม้ ใบไม้ เช่น ลายดอกพิกุล ลายกลีบลำดวน ลายใบเทศ ลายเม็ดมะยม และลายพุ่มข้าวบิณฑ์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการนำลวดลายธรรมชาติเหล่านี้มา ประยุกต์เข้ากับลายไทยต่างๆ สำหรับลวดลายที่เป็นลาย โบราณดั้งเดิมและยังได้รับความนิยมในปัจจุบันคือ ลาย ดอกพิกุลหรือดอกแก้ว ผ้ายกดอก ลายดอกพิกุลเป็นผ้าลายโบราณที่สืบ เนื่องมาจากความเชื่อของคนในสมัยโบราณว่า ดอกพิกุล เป็นดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม และมักจะพบเห็นว่าปลูกในวัด เป็นส่วนใหญ่ คนสมัยก่อนจึงถือว่าดอกพิกุลเป็นดอกไม้ที่ ควรนำมาบูชาพระ จึงได้เก็บดอกพิกุลมาร้อยเป็นพวง มาลัยเพื่อถวายพระ ดังนั้นคนสมัยโบราณจึงเห็นว่าดอก พิกุลเป็นดอกไม้ที่คู่ควรกับการนำมาเคารพบูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ช่างทอผ้าสมัยโบราณจึงคิดประดิษฐ์ ลวดลายดอกพิกุลลงบนผืนผ้า แรกทีเดียวได้นำมาทอ เป็นผ้าห่อคัมภีร์โบราณ เพื่อถวายวัดอันเป็นประเพณี ของคนไทยในสมัยโบราณ ต่อมาคนรุ่นหลังๆ จึงได้ พัฒนานำมาทอเป็นลวดลายผ้าที่ใช้ในงานต่างๆ เช่น ผ้า สไบ ผ้าซิ่น และผ้าในพิธีต่างๆ และได้มีการออกแบบ ลวดลายดอกพิกุลที่หลากหลายขึ้น เช่น พิกุลเครือ พิกุล มีขอบ พิกุลก้านแย่ง พิกุลเชิงใหญ่ พิกุลถมเกสร พิกุลเล็ก พิกุลใหญ่ พิกุล สมเด็จ และพิกุลกลม เป็นต้น ซึ่งแต่ละลวดลายจะมีรูปแบบที่แตกต่างกัน คือ ขนาดของดอกพิกุล และสีสันของเส้นไหมหรือดิ้นเงิน ดิ้นทอง นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มลวดลายอื่นๆ ลงไปประกอบกับดอกพิกุล เช่น การ เพิ่มกลีบ ก้าน ใบ เกสร และการเพิ่มเหลี่ยมของดอกพิกุล เป็นต้น เนื่องด้วย ลายดอกพิกุลเป็นลวดลายโบราณที่เป็นเอกลักษณ์ของผ้ายกลำพูน และเป็นที่ รู้จักของคนส่วนมาก ดังนั้นผู้ออกแบบจึงนิยมนำลายดอกพิกุลมาผสมผสาน กับลวดลายประยุกต์อื่นๆ เพื่อคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของผ้ายกลำพูนให้ดำรง อยู่สืบไป
การทอผ้าไหมยกดอกลำพูนนั้นมีรูปแบบการทอโดยใช้กี่พื้นเมือง (กี่กระทบหรือกี่มือ) ซึ่งมีทั้งกี่พื้นเมืองโบราณและกี่พื้นเมืองประยุกต์โดย กี่ ทอผ้าพื้นเมืองโบราณจะไม่มีหัวม้วนเข้ามาช่วยในการดึงเส้นไหมยืนผู้ที่ใช้ กี่ทอชนิดนี้ส่วนมากเป็นผู้สูงอายุที่ทอผ้ามาแต่โบราณ ซึ่งจะมีความชำนาญ ในการทอและการแก้ปัญหาการพันกันของเส้นไหมหรือแม้แต่การต่อเส้น ไหมที่ขาด ตลอดจนการร้อยไหมให้ถูกตะกอ(เขา)การทอผ้ายกด้วยกี่พื้น เมืองโบราณนั้นมีข้อจำกัดคือ หากผู้ทอไม่มีความชำนาญจะทำให้เนื้อผ้า หลวม ไม่เรียบเนียน และได้ลวดลายไม่สวยเนื่องจากเส้นไหมหย่อน ใน ปัจจุบันมีการประยุกต์โดยการเพิ่มอุปกรณ์อื่นๆ เข้ามาประกอบในตัวกี่เพื่อ เพิ่มความสะดวก และแก้ปัญหาการหย่อนของเส้นไหม ยืน รวมถึงป้องกันการพันกันของเส้นไหม อุปกรณ์ที่ ประกอบเพิ่มได้แก่ หัวม้วนไหมเส้นยืน ไม้ค้ำดันหัวม้วน คานรับตะกอดอก ไม้ม้วนผ้าทอทำให้ผู้ทอสะดวกมาก ขึ้น อีกทั้งยังได้ผ้าทอที่เรียบแน่นเมื่อลงแรงกระทบด้วย จังหวะที่พอดี จึงทำให้การทอผ้ามีมาตรฐานมากขึ้น
ขอบคุณแห่งที่มา