พร้อมกันสวมสีสันของธรรมชาติและศิลปะทอผ้าที่ยากลำบาก ภาคอีสานของประเทศไทยได้มีภูมิปัญญาการทอผ้ายกมุก (การทอเสริมเส้นด้ายยืนพิเศษ) ที่น่าประทับใจ กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ เช่น ไท-ลาว ภูไท (ผู้ไทย) และกูย ได้มีการนำเทคนิคนี้มาแลกเปลี่ยนกัน ผ่านการทอสร้างสรรค์ที่ยากลำบากและเป็นศิลปะอันงดงาม
ในเทคนิคการทอ "ยกมุก" หรือการเพิ่มเส้นด้ายยืนพิเศษเข้าไปในผืนผ้า ใช้ระบบเส้นยืนบนเครื่องทอผ้า ซึ่งจำเป็นต้องมีจำนวน 2 ชุดเส้นด้าย และเป็นระบบที่เคยนิยมใช้ในหมู่ชาวภูไท โดยสำหรับการทอ "ผ้าจ่อง" เป็นผ้าคลุมไหล่ที่ใช้ในพิธีบวชนาคและเป็นผ้าคลุมโลงศพ ในการทอผ้าชนิดนี้ ใช้ฝีมือทอเหมือนกัน 2 ชิ้นแล้วนำมาเย็บหรือเพลาะต่อกันเพื่อเพิ่มความกว้างของผืนผ้าให้เหมาะกับโครงสีดั้งเดิม ส่วนในการใช้สีพื้นและการสอยแบบต่างๆ มักเชื่อมโยงกับพระพุทธศาสนา เช่น ลายจอมธาตุ ลายเอี้ย (ลายหยัก สัญลักษณ์ "นาค") และอื่นๆ และส่วนของเส้นยืนพิเศษที่เป็นลวดลายตกแต่งนิยมใช้เส้นไหมสีเหลืองหรือสีขาว หลังจากที่ทอเสร็จแล้ว จะเกิดลวดลายริ้วทางยาวที่มาจากเส้นยืนสลับสีกับเส้นยืนพิเศษ
สิ่งที่ทำให้ผ้ายกมุกของชาวไท-ลาวเมืองอุบลราชธานีนั้นมีเอกลักษณ์พิเศษคือลายมุกที่นิยมใช้ เครื่องประดับเครื่องแต่งกาย และการประดับบ้าน ซึ่งมักมีเครือทิวที่เคยใช้ และการใช้สีในลายมุกมีหลายแบบ แต่สีที่นิยมใช้บ่อยคือ
(1) เครือสีดำสลับกับสีแดง
(2) เครือสีครามกับสีแดง และ
(3) เครือสีเขียวกับสีดำ ผ้าซิ่นทิวมุกคือผ้าที่ใช้แต่กลุ่มเชื้อสายเจ้านายเมืองอุบลราชธานี
นอกจากเทคนิคการทอผ้ายกมุกแล้ว ในภาคอีสานยังมีการทอตีนซิ่นด้วยเทคนิคการยกมุก โดยใช้ลูกตุ้มหินถ่วงทำตะกอสายผ้า ทั้งชาวไท-ลาวและกูย ในจังหวัดต่างๆ นิยมใช้เทคนิคนี้ในการทอ "ตีนตำแหนะ" เพื่อใช้ต่อกับผ้าซิ่นมัดหมี่ ส่วนชาวกูย จะใช้เทคนิคการยกมุกนี้ในการทอ "ตีน/เสลิก" เพื่อใช้ต่อกับซิ่นโฮลประโบล
ศึกษาเทคนิคการทอผ้ายกมุกให้ลึกซึ้ง ค้นพบการสร้างสรรค์ที่งดงามของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในลุ่มแม่น้ำโขง จากผ้าจ่องที่ใช้ในพิธีบวชนาคและสัปดาห์ในพิธีทางศาสนา ไปจนถึงผ้าซิ่นทิวมุกที่มีเอกลักษณ์ที่แตกต่าง ความงดงามและความหลากหลายของลายมุก มากมายให้คุณตื่นตาตื่นใจในความสวยงามและความเป็นเอกลักษณ์ของศิลปะทอผ้าไทย
ขอบคุณแหล่งที่มา